นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงานและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน โดยวันที่ 1 ธันวาคม 2568 คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจได้มีมติรับทราบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
จากการลงพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ได้มีการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นโดยการแจกถุงยังชีพ อาหาร น้ำดื่ม รวมทั้งได้สำรวจความเสียหายและรับฟังความเดือดร้อนของประชาชน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อรับฟังข้อเสนอต่างๆ เพื่อนำมาจัดทำมาตรการให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุดและเป็นระบบ ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ครอบคลุมทั้งมาตรการด้านการเงิน ภาษี การประกันภัย การประกอบอาชีพและการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค โดยยึดหลักความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว ภายใต้แนวคิด “Quick Big Recovery”
ระยะที่ 1 การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน เป็นการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ได้แก่ (1) การจัดหาสิ่งของอุปโภคและบริโภคจำเป็นและขาดแคลน (2) การจัดหาที่พัก/ศูนย์พักพิง (3) การจัดหาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ไฟฟ้า ประปา อินเตอร์เน็ต เป็นต้น (4) การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยการดำเนินมาตรการภาษีสนับสนุนการบริจาค และ (5) การเร่งรัดให้จ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงาน
ระยะที่ 2 – 3: การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน โดยเมื่อพ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉิน การดำเนินการจะเปลี่ยนผ่านสู่การเยียวยา ซึ่งเป็นการประคับประคองและบรรเทาภาระความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่อย่างรอบด้าน ครอบคลุมด้านการลดภาระหนี้ การเก็บเงินไว้ในกระเป๋า/ส่งเงินให้ถึงมือ การลดภาระค่าใช้จ่ายและมาตรการด้านอื่นๆ เพื่อให้ภาคประชาชน ธุรกิจและเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
โดยมีการดำเนินการลดภาระหนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 12 เดือน โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะยกเว้นการคิดดอกเบี้ยในช่วงเวลาการพักชำระหนี้ (คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี) รายละไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
การเก็บเงินไว้ในกระเป๋า/ส่งเงินให้ถึงมือ เช่น การให้สินเชื่อเพื่อเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ เป็นสินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้วงเงินกู้เดิมกับธนาคาร (ลูกหนี้เดิม) รายละไม่เกิน 1 แสนบาท ปลอดดอกเบี้ย 12 เดือนแรก การให้สินเชื่อเพื่อฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ปลอดดอกเบี้ย 12 เดือนแรก การสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเสียหาย การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยที่ได้รับ การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาที่ประสบอุทกภัยตามจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้น การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินที่รับจากรัฐบาลเพื่อการป้องกันอุทกภัย การขยายระยะเวลา/ผ่อนผันระยะเวลาการเก็บเบี้ยประกันภัย การเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การขยายเวลากำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ เป็นต้น
การลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับเครื่องจักรและชิ้นส่วนเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัย การยกเว้นการเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุที่ประสบอุทกภัย การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาที่ทำจัดซื้อจัดจ้าง การลดค่าน้ำประปาในพื้นที่อุทกภัย การเตรียมจัดงานธงฟ้าเยียวยาค่าครองชีพ โดยเน้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดหลังน้ำลดและอุปโภคบริโภคจำเป็น การบรรเทาภาระด้านเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการสินค้า GI (Geographical Indication) การเว้นค่าเช่าและค่าเช่าซื้อ เป็นต้น
ส่วนด้านอื่นๆ เช่น รัฐวิสาหกิจตรวจสอบความปลอดภัยตามที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้างระบบท่อน้ำ ระบบไฟฟ้า รางรถไฟ เป็นต้น การอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด การจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานพันธมิตร โดยลงพื้นที่ให้คำปรึกษาและบริการต่างๆ ด้านการค้าระหว่างประเทศแก่ผู้ประกอบการถึงในพื้นที่ การอำนวยความสะดวกในการยื่นงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นต้น พร้อมทั้งได้มีการมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ที่ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลือที่สอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อไป
กระทรวงการคลัง คาดว่า การบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ในครั้งนี้ จะช่วยส่งมอบความช่วยเหลือได้อย่างครบถ้วนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในระยะฉุกเฉิน การเยียวยาด้วยการลดภาระทางการเงินและภาษี ตลอดจนการฟื้นฟูอาชีพและเศรษฐกิจในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบสามารถตั้งหลักและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว ประกอบกับการเร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ให้กลับคืนสู่ความเข้มแข็งและเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป








