นายกฯ สั่งเร่งถอดบทเรียนแก้ปัญหามหาอุทกภัยสงขลา ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เพิ่มจ่ายค่าปลงศพ รายละ 2 ล้านบาท ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ครั้งที่ 1/2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตลอดจนปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชที่เกี่ยวข้อง และผู้เชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการน้ำต่างๆ  เข้าร่วมประชุม

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงการนำผลการปฏิบัติงานการแก้ไขปัญหามหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคกลาง เมื่อปี 2554 รวมทั้งที่จังหวัดเชียงราย และล่าสุดมหาอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มีการปฏิบัติงานทั้งประสบผลสำเร็จและมีจุดบกพร่องนำมาทบทวนสู่กระบวนการถอดบทเรียน ปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าต้องมีความชัดเจนและทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนกำลังเร่งดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว รวมถึงการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นและช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ 5 คณะ เพื่อเร่งดำเนินการถอดบทเรียนตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

โดยนายบวรศักดิ์ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ ภาคเอกชน มูลนิธิต่างๆ  ซึ่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ 5 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมรับภัย โดยมีเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการดูเรื่องการพยากรณ์อากาศการวิเคราะห์การพยากรณ์ต่างๆ ว่าจะเกิดอุทกภัยขนาดไหน รวมถึงระบบเตือนภัย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนร่วมเป็นกรรมการ ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง 2) คณะอนุกรรมการป้องกันและลดผลกระทบ โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องการอพยพ ศูนย์อพยพ โรงพยาบาล ระบบสาธารณสุขสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ทั้งหมด รวมถึงระบบการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ โดยกรรมการประกอบด้วย นักวิชาการ จิตอาสา NGO และภาคเอกชน (3) คณะอนุกรรมการการจัดการในภาวะฉุกเฉิน โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัย การขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กองทัพ ส่วนราชการต่างๆ ในการระดมสรรพกำลังและอุปกรณ์ต่างๆ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ (4) คณะอนุกรรมการการจัดการหลังเกิดภัย โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการเยียวยา การจัดการขยะ การทำความสะอาด การดูแลสุขภาพจิตของประชาชน และ (5) คณะอนุกรรมการประสานงาน โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ดูแลเรื่องเทคโนโลยี การนำ AI แพลตฟอร์มต่างๆ มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนและการเตรียมความพร้อมในอนาคต

โดยวันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม 2568 นายบวรศักดิ์ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น นายเสรี ศุภราทิตย์ นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดร.รอยล จิตรดอน จะเดินทางลงไปจังหวัดสงขลาดูพื้นที่จริง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในปีหน้า ไม่ให้เข้าตัวเมือง และเตรียมการรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ โดยการถอดบทเรียนของคณะกรรมการชุดนี้คาดว่าจะดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม 2568 นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ จะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดสงขลาเพื่อติดตามการดำเนินการเยียวยาฟื้นฟูในพื้นที่ด้วย

ขณะที่นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับการประสานงานจากสำนักพระราชวังถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับศพผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยในพื้นพื้นที่ภาคใต้ทุกราย ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาที่ทรงพระกรุณาแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง สตูล ตรัง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ประสานงานสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจข้อมูลผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ และส่งข้อมูลขอพระราชทานดินฝังศพ และพระราชทานเพลิงศพ หรือการดำเนินการอื่น ๆ แล้วแต่กรณี พร้อมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติงานพิธีการศพในพระบรมราชานุเคราะห์ รวมถึงการอำนวยความสะดวก และการพระราชทานเงินช่วยเหลือแก่ทายาท เพื่อให้การดำเนินการตามที่ทรงโปรดเกล้าฯ รับผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และทั่วถึง

ส่วนการจ่ายเงินเป็นค่าปลงศพ แก่ผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้รายละ 2 ล้านบาท นั้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย กล่าวว่า รัฐบาลได้เพิ่มการจ่ายเงินเยียวยาเป็นค่าปลงศพ รวม 9 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และตรัง โดยคำจำกัดความของ “การเสียชีวิต” ในครั้งนี้ คือ 1. การจมน้ำเสียชีวิต 2. การเสียชีวิตในที่พักอาศัยหรือโรงพยาบาลที่ถูกน้ำท่วมขังหรือล้อมรอบ 3. การเสียชีวิตระหว่างการเคลื่อนย้ายหรืออพยพออกจากพื้นที่น้ำท่วมไปยังโรงพยาบาล ศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือสถานที่ปลอดภัย มีกรอบระยะเวลาคือวันที่ 22 – 27 พฤศจิกายน 2568 สำหรับเอกสารที่ญาติต้องใช้กรณีการเสียชีวิตประกอบด้วย 1. ใบมรณบัตร 2. ใบรายงานคดี 3. คำวินิจฉัยแพทย์ ในกรณีที่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ แล้วจำเป็นจะต้องสอบพยานแวดล้อมเพิ่มเติม จะต้องมีใบสอบปากคำ (ปค.14) เพิ่มเติม สำหรับกรณีที่มีปัญหาเรื่องการวินิจฉัยตีความ ต้องมีการยืนยันตัวตนสถานะของทายาทโดยธรรม ที่จะเป็นผู้รับเงินเยียวยา ทั้งนี้ขอบคุณจุฬาราชมนตรีที่ให้การช่วยเหลือ โดยบางกรณีจำเป็นต้องดำเนินการภายใน 24 ชั่วโมงตามหลักศาสนา ทางจุฬาราชมนตรีได้มอบหมายให้คณะกรรมการกลางอิสลามประจำแต่ละอำเภอ เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาในแต่ละกรณี พร้อมทั้งให้จัดแพทย์ที่เป็นชาวมุสลิมเข้าร่วมสังเกตการณ์ในประเด็นต่างๆ ด้วย

ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 แบบเหมาจ่ายในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาในวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 ของการโอนเงินเยียวยา โดย ปภ. และธนาคารออมสินได้โอนเงินให้แก่ผู้ประสบภัย ในพื้นที่ภาคใต้ที่ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว รวม 368,099 ครัวเรือน รวมเป็นเงิน 3,312,891,000 บาท ได้แก่ สงขลา ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี และ ยะลา ทั้งนี้ขอย้ำให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ ผูกบัญชีพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน ติดต่อธนาคารใดก็ได้ เพื่อผูกบัญชีโดยเร็ว เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด

ส่วนการเดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อ Kick Off ปล่อยขบวนช่างชุมชน สถาปนิก วิศวกร จากเครือข่ายสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. กระทรวง พม. พร้อมด้วยนายช่างอาสาจากมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา และการเคหะแห่งชาติ เพื่อเร่งสำรวจและประเมินความเสียหาย เพื่อวางแผนการซ่อมแซมบ้านกลุ่มเปราะบางที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ อีกทั้งมีการเปิดโรงครัว พม.ใกล้คุณ ร่วมกับขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสงขลา มอบเงินสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 168 ราย เป็นจำนวนเงิน 540,000 บาท และมอบ “ถุงฮีล (Heal) ใจ พม.ใกล้คุณ” เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อเร่งบรรเทาความเดือดร้อนหลังน้ำลด ให้กับตัวแทนผู้อยู่อาศัยในโครงการเคหะชุมชนภูมิภาคหาดใหญ่ อีกทั้งร่วมกิจกรรม Big Cleaning เร่งคืนพื้นที่สะอาดให้กับประชาชน

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประจำภาคใต้ และคณะอนุกรรมการประจำภาคใต้ชายแดน ประชุมเพื่อกลั่นกรองแผนพัฒนาจังหวัด – กลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปี 2570 นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้ ทั้งสงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอุทกภัย รัฐบาล และกระทรวงคมนาคมได้เร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคม และบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จึงขอกำชับให้คณะอนุกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “คิดไกลกว่าการซ่อมแซม” คือใช้โอกาสการฟื้นฟูเพื่อยกระดับภาคใต้ให้แข็งแรงกว่าเดิม โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจภาคใต้ ทั้งการท่องเที่ยวทางทะเล การท่องเที่ยวเชื่อมฝั่งอ่าวไทย – อันดามัน และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม – ศาสนา เช่น เส้นทางไหว้พระในนครศรีธรรมราช

สำหรับจังหวัดสงขลาและอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นประตูท่องเที่ยวชายแดนสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย นั้น เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาครั้งแรก เราต้องทำให้เขาอยากกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เราจึงต้องฟื้นให้เร็วและทำให้ปลอดภัยที่สุด ทั้งระบบคมนาคมและการบริการของเมือง พร้อมเน้นให้ทุกหน่วยงานช่วยกันดูแลเรื่องความปลอดภัยนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ เพราะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ภาคใต้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวและย้ำว่า รัฐบาลจะเดินหน้าฟื้นฟูภาคใต้จากวิกฤตอุทกภัย ควบคู่กับการวางรากฐานระยะยาว ทั้งด้านท่องเที่ยว การเกษตรมูลค่าสูง อุตสาหกรรมฮาลาล โลจิสติกส์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อสร้างอนาคตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน 14 จังหวัดภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง