“ศุภจี” จับมือ ซาอุดีอาระเบีย ขยายตลาด เพิ่มการส่งออกข้าว มันสำปะหลังอาหารฮาลาล และผลไม้ไทย ตั้งเป้าไทยเป็นประตูการค้าอาหาร และบริการสู่ตะวันออกกลาง

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้แทนการค้าไทย ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียเพื่อเจรจาการค้าและผลักดันสินค้าไทยสู่ผู้บริโภคตะวันออกกลาง ระหว่างวันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2568 โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ตามเวลาในท้องถิ่น นางศุภจี พร้อมคณะเข้าพบหารือกับ ดร.มาญิด บินอับดุลเลาะฮ์ อัลกอเศาะบี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซาอุดีอาระเบีย เพื่อหารือแนวทางยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่าง 2 ประเทศ พร้อมเร่งขยายโอกาสให้กับสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในตลาดตะวันออกกลาง โดยนางศุภจี กล่าวว่า ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลางที่ได้เดินทางมาเยือนหลังรับตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียต่อไทย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกระชับความร่วมมือในฐานะพันธมิตรระหว่างภูมิภาคที่เริ่มจาก “ความเชื่อใจ (trust)” ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก โดยวางเป้าหมายให้ซาอุดีอาระเบียเป็นประตูการค้า (Gateway) สู่ภูมิภาคตะวันออกกลางและกลุ่ม GCC (Gulf Cooperation Council :คณะมนตรีความร่วมมืออ่าวอาหรับ) ทั้งนี้รัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการส่งเสริมสินค้าไทยในตลาดซาอุฯ และพร้อมสนับสนุนการนำเข้าสินค้าคุณภาพจากไทย เช่น ข้าว อาหารฮาลาล วัตถุดิบด้านอาหาร และผลไม้ นอกจากนี้ยังพร้อมหารือกับไทยถึงมาตรฐานสินค้าเพื่อให้ไทยสามารถผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการของซาอุดีอาระเบียและเห็นว่าไทยสามารถเป็น “แหล่งความมั่นคงทางอาหาร” ให้แก่ซาอุดีอาระเบียได้ นอกจากนี้ ฝ่ายซาอุดีอาระเบียให้ที่ดินติดตั้งบูธ Thai Village เป็นการถาวรเพื่อส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการของไทยในตะวันออกกลาง

ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านบริการ (hospitality) ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยว ร้านอาหาร สปา และบริการด้านสุขภาพ (wellness) รวมทั้งความร่วมมือด้านแรงงานมีฝีมือ อาทิ พ่อครัว พนักงานในสาขาท่องเที่ยว โดยไทยพร้อมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตลอดจนสนับสนุนแรงงาน มีฝีมือเข้าไปช่วยพัฒนาซาอุดีอาระเบียให้บรรลุตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ “วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ. 2030” ซึ่งเป็นนโยบายหลักของประเทศในปัจจุบันที่กำลังพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ลดการพึ่งพาน้ำมันและให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยว

อีกทั้งได้พบกับคณะผู้บริหาร LuLu Hypermarket ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เปิดงาน Thailand Halal Food Festival 2025 ณ ห้างสรรพสินค้า LuLu Hypermarket กรุงริยาด ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีก รวมถึงห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวตะวันออกกลาง เพื่อขยายตลาดและโอกาสของสินค้าไทยในตลาดค้าปลีก โดยพบว่าสินค้าไทย อาทิ ข้าว ผักผลไม้ อาหารสำเร็จรูป ผักผลไม้กระป๋อง อาหารทะเลกระป๋อง ซอส เครื่องปรุง อาหารสัตว์เลี้ยง และของใช้ในครัวเรือน ได้รับความนิยมจากลูกค้าจากจุดเด่นด้านคุณภาพ

นางศุภจี กล่าวว่า ได้เชิญชวนให้ LuLu Hypermarket พิจารณาขยายความร่วมมือกับเอกชนไทยในด้านต่างๆ อาทิ การนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้าวพันธุ์พิเศษ เช่น ข้าวน้ำตาลต่ำ ข้าวปลอดสารเคมี รวมทั้งผักผลไม้ที่มีศักยภาพ อาทิ ทุเรียน มะม่วง มะขามหวาน มังคุด ลำไย มะพร้าว การร่วมลงทุนในธุรกิจ ด้านอาหารและบริการที่เกี่ยวเนื่อง และการจัดหาสินค้าหรือบริการศักยภาพของไทยไปให้บริการในห้างสรรพสินค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะเป็นตัวกลางประสานบริษัทที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ได้เน้นย้ำความพร้อมของไทยในการเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพสูงที่สามารถเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้ตะวันออกกลางได้ในระยะยาว

LuLu Hypermarket เป็นธุรกิจค้าปลีกที่วางจําหน่ายสินค้าไทยมากที่สุดในซาอุดีอาระเบีย มีสาขาในซาอุดีอาระเบีย 56 สาขา และอีกกว่า 200 สาขาทั่วภูมิภาคอ่าวอาหรับ (GCC) นับเป็นผู้นำเข้าสินค้าไทยรายใหญ่ที่มีศักยภาพสูง มีความคุ้นเคยและเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าไทย อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกระทรวงพาณิชย์ โดยตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ห้าง LuLu Hypermarket ที่ริยาดจะจัดงาน Thailand Halal Food Festival 2025 เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์และส่งเสริมสินค้าไทยให้กับผู้บริโภคในซาอุดีอาระเบียอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปี 2567 ซาอุดีอาระเบียเป็นคู่ค้าอันดับที่ 19 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 7,757.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทย มูลค่า 2,856.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าของไทย มูลค่า 4,900.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 10 เดือน (ม.ค. – ต.ค. 68) การค้า 2 ฝ่ายมีมูลค่า 6,657.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทย มูลค่า 2,168.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าของไทย มูลค่า 4,488.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ (1) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (2) ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ (3) ผลิตภัณฑ์ยาง (4) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (5) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ (1) น้ำมันดิบ (2) ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ (3) เคมีภัณฑ์ (4) สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และ (5) ก๊าซธรรมชาติ

นางศุภจี ยังได้เข้าพบหารือกับนาย Ziyad A. Al-Sheikh ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท Arabian Agricultural Services Company (ARASCO) หนึ่งในบริษัทขับเคลื่อน ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)ที่สำคัญที่สุดของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปี ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์อาหาร ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช ยาและวัคซีนสัตว์ ไปจนถึงบริการโลจิสติกส์ครบวงจร ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้หารือร่วมกับ ARASCO มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของบริษัทในการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของซาอุดีอาระเบีย โดยสินค้ามันสำปะหลังอัดเม็ด เป็นหนึ่งในความร่วมมือสำคัญของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เริ่มทดลองส่งออกไปก่อนหน้านี้จำนวนประมาณ 20,000 ตัน ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ARASCO มีหลักการ 4 เรื่องในการพิจารณานำเข้าวัตถุดิบ ได้แก่ ราคาที่เหมาะสม คุณภาพได้มาตรฐาน ส่งของได้ตามความต้องการ และต้องมีความต่อเนื่องไม่ขาดช่วง ซึ่งไทยสามารถตอบโจทย์ได้ครบ ทำให้ในการหารือครั้งนี้ ARASCO ตัดสินใจเพิ่มคำสั่งซื้อมันสำปะหลังอัดเม็ด อีกราว 30,000 ตัน และหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ปีหน้าจะมีความต้องการนำเข้าเพิ่มอีก 100,000 ตัน นอกจากนี้ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนโอกาสความร่วมมือเพิ่มเติมในด้านสินค้าเกษตรและอาหารหลากหลายประเภท ไทยได้เสนอสินค้าเพิ่มเติม เช่น ปลายข้าว หญ้าเนเปียร์ สำหรับอาหารสัตว์ อาหารเลี้ยงปลา และอาหารสัตว์ปีก ซึ่ง ARASCO ให้ความสนใจและพร้อมศึกษาต่อยอดธุรกิจร่วมกับไทยในระยะยาว และ ARASCO ยังมีแผนพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์ปีกภายในประเทศเพื่อเพิ่มการพึ่งพาตนเอง ไทยจึงได้เสนอศักยภาพในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารฮาลาลและการแปรรูปอาหาร และจากการได้หารือกับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้ามายังซาอุฯ ระบุว่า ไทยมีสินค้าพร้อมส่งออก เช่น ไก่แปรรูป เกี๊ยวซ่า ไส้กรอก นักเก็ต และผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง-พร้อมทานอื่น ๆ ซึ่งตลาดซาอุดีอาระเบียยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

นางศุภจี ยืนยันว่า ไทยมีความพร้อมเป็นแหล่งวัตถุดิบคุณภาพสูงและพันธมิตรด้านอาหารที่เชื่อถือได้ ขณะเดียวกัน ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของธุรกิจในเครือ ARASCO เพื่อขยายการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังตะวันออกกลางได้อีกมาก ทั้งด้านวัตถุดิบอาหารสัตว์ การร่วมลงทุนด้านอาหารหรือปศุสัตว์ และการพัฒนานวัตกรรมเกษตรหรือ Smart Farming

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้เดินหน้าปรับกลยุทธ์อุตสาหกรรมข้าวสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยแนวคิด “ข้าวประณีต” ที่เน้นรสชาติ อัตลักษณ์ และข้อมูลเชิงลึกแทนการแข่งขันด้านปริมาณ โดยคัดกลุ่มผู้ผลิตทั่วประเทศเข้าสู่ระบบยกระดับคุณภาพและฐานข้อมูลโปร่งใส เพื่อให้ข้าวแต่ละชนิดขายได้ตามคุณค่าจริง พร้อมเปิดตัวครั้งแรกในงาน Thailand Rice Fest 2025 ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 – 7 ธันวาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจะเป็นเวทีเชื่อมผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ผ่านการชิม การจับคู่เมนู และซื้อขายข้าวประณีตโดยตรง ตอกย้ำศักยภาพความหลากหลายกว่า 5,000 สายพันธุ์ของไทยในการก้าวสู่ตลาดเฉพาะทางระดับสากล

นางศุภจี กล่าวว่า ตลาดข้าวโลกเปลี่ยนไป ผู้บริโภคไม่ได้เลือกข้าวจากความเคยชิน แต่ให้ความสำคัญกับรสชาติ แหล่งที่มา เรื่องราวผู้ผลิต และข้อมูลประกอบการบริโภค ดังนั้นข้าวไทยต้องมีสิ่งที่จับต้องได้ ไม่ใช่ขายด้วยชื่อพันธุ์เพียงอย่างเดียว ถ้าบอกได้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร เหมาะกับเมนูแบบไหน หรือผลิตจากพื้นที่ใด จะทำให้ผู้ซื้อทั่วโลกเห็นคุณค่าที่แท้จริง และพร้อมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ทั้งนี้ไทยผลิตข้าวปีละ 20 กว่าล้านตัน และพึ่งพาการส่งออกมากกว่าครึ่ง ในขณะที่ผลผลิตต่อไร่ยังตามหลังประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามที่ได้เฉลี่ย 1,200 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่ไทยเฉลี่ย 600–700 กิโลกรัมต่อไร่ กระทรวงพาณิชย์จึงเร่งขับเคลื่อนให้ข้าวไทยเปลี่ยนสู่ “ตลาดเฉพาะทาง” มากขึ้น โดยใช้จุดแข็งด้านความหลากหลายกว่า 5,000 สายพันธุ์เป็นตัวนำ และเริ่มต้นส่งเสริม 200 กลุ่มเกษตรกรต้นแบบในเฟสแรก หากไทยสามารถสร้างระบบข้อมูล รสชาติ อัตลักษณ์ และเรื่องราวของข้าวแต่ละชนิดได้อย่างชัดเจน ผู้ซื้อทั่วโลกจะเลือกข้าวไทยเหมือนเลือกกาแฟหรือไวน์

นายนพธรรม วาณิช ผู้ร่วมก่อตั้ง Rice Hub ระบุว่า ไทยมีความหลากหลายของข้าวมากที่สุดประเทศหนึ่ง แต่ในระบบการค้าใช้จริงเพียงไม่กี่พันธุ์ ทำให้ไม่ตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่ที่ต้องการข้าวเฉพาะทาง ซึ่งเราเริ่มจากการชิมและบันทึก Flavor Notes เพื่อสร้างภาษากลางของรสชาติข้าว เหมือนวงการไวน์หรือกาแฟพิเศษ จากนั้นพบว่าข้าวอย่างข้าวลืมผัว ข้าวหอมใบเตย หรือข้าวไร่ดอกข่า ล้วนมีคาแรกเตอร์เฉพาะแบบที่ตลาดพรีเมียมต้องการ
เราจึงใช้คำว่า “ข้าวประณีต” เพื่ออธิบายคุณลักษณะนี้

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังได้จัดกระเช้า “GI ไทย ส่งสุขปีใหม่ สุขใจชุมชน” ผนึกกำลังห้างร้านและภาคเอกชน 8 ราย ร่วมส่งเสริมการตลาดสินค้า GI ผ่านกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่บรรจุสินค้า GI นานาชนิดเพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์ คุณค่า และศักยภาพสินค้า GI ไทย ว่ามีคุณภาพไม่แพ้สินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับสินค้าชุมชนและต่อยอดสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม โดยนางศุภจี กล่าวว่า การส่งเสริมสินค้า GI เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญตามนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ โดยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการเพิ่มรายได้จากผลผลิต GI ซึ่งเป็นของดีประจำถิ่นที่มีอัตลักษณ์ และมีเอกลักษณ์พิเศษตามสภาพดิน น้ำ อากาศ หรือภูมิปัญญาในพื้นที่ ส่งผลให้สินค้า GI สามารถเพิ่มมูลค่าได้มากกว่าสินค้าทั่วไป 2-5 เท่า เช่น กาแฟเทพเสด็จ (เชียงใหม่) ราคาขายก่อนเป็น GI อยู่ที่กิโลกรัมละ 400 บาท แต่เมื่อได้เป็น GI ราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 800 บาท ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ (มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ และสุรินทร์) ราคาขายก่อนเป็น GI อยู่ที่กิโลกรัมละ 33 บาท แต่เมื่อได้เป็น GI ราคากิโลกรัมละ 55 บาท เป็นต้น โดยปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียนสินค้า GI ไทยแล้วทั้งสิ้น 244 รายการ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากทั่วประเทศ มีทั้งกลุ่มอาหาร ผลไม้ เครื่องดื่ม และงานศิลปหัตถกรรมพื้นถิ่น โดยสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 114,331 ล้านบาท  สำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ส่งเสริมการบริโภคสินค้าท้องถิ่นอย่าง GI โดยมีการผนึกกำลังกับภาคเอกชนหลายแห่งนำสินค้า GI ไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ เช่น จัดกระเช้าของขวัญ ชุดของที่ระลึกระดับพรีเมียม ซึ่งผู้ที่กำลังมองหาของขวัญแทนความปรารถนาดีเพื่อมอบให้กับคนที่รักและห่วงใยในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ เชื่อว่า “กระเช้า GI ส่งสุขปีใหม่” คือของขวัญที่ตอบโจทย์ผู้ให้และถูกใจผู้รับได้อย่างแท้จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง