เกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่ตำบลยุโป อำเภอเมืองยะลา ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่ว่างเปล่า ด้วยการปลูก “สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย” แซมในแปลงปลูกแทนยางพาราและปาล์มน้ำมัน ภายใต้การสนับสนุนของ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ซึ่งช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงและรวดเร็วในช่วงที่ต้องรอผลผลิตจากพืชหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ราคายางพาราตกต่ำ
นายสุรชัย บุญวรรณโณ เกษตรกร เปิดเผยว่า แปลงของตนได้รับทุนสงเคราะห์การปลูกแทนจาก กยท. มีเนื้อที่รวม 34 ไร่ ซึ่งแบ่งปลูกยางพาราในพื้นที่เนิน และปาล์มน้ำมันในพื้นที่ราบ ด้วยแนวคิดที่ “ไม่อยากปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่า” จึงตัดสินใจนำสับปะรดมาปลูกแซม เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนก่อนที่พืชหลักจะให้ผลผลิต โดยปาล์มใช้เวลา 2-3 ปี และยางพาราใช้เวลาถึง 7 ปี
“พยายามใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์เต็มที่ การนำสับปะรดมาลงถือเป็นการหารายได้เพิ่มให้กับตัวเองได้ทันที ดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่า” นายสุรชัยกล่าว
นอกจากนี้ การปลูกสับปะรดยังมีข้อดีคือ ช่วยในการรักษาหน้าดินไม่ให้พังทลายและเป็นพืชที่ทนทาน ดูแลง่าย ไม่ต้องรดน้ำมาก เพียงแค่ใส่ปุ๋ยและกำจัดวัชพืช ปีเศษก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว
การเก็บผลผลิตครั้งแรกเป็นไปอย่างน่าพอใจ โดยสับปะรดสามารถจำหน่ายให้กับแม่ค้าที่มารับซื้อถึงที่ ด้วยราคาขายส่งอยู่ที่ 13-15 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายปลีกอยู่ที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ดีมาก
นางสาวฝนทิพย์ จันทร์แดง แม่ค้ารับซื้อสับปะรดจากจังหวัดพัทลุง กล่าวถึง คุณภาพของสับปะรดยะลา ว่า สภาพอากาศและดินมีความเหมาะสม ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ตรงตามเป้าหมายทั้งขนาดและน้ำหนัก อีกทั้งรสชาติยังใกล้เคียงกับสับปะรดป่าบอนที่มีชื่อเสียง โดยปกติจะรับซื้อวันเว้นวัน ในปริมาณสูงถึง 3,500-3,800 กิโลกรัมต่อครั้ง และตลาดรองรับก็ค่อนข้างกว้างขวาง ทั้งตลาดค้าปลีก ตลาดค้าส่ง โรงแรม โรงเรียน และเรือประมง
ทางด้านนางสาวทิพนิภา สูโรโรจน์ ผู้อำนวยการ กยท. สาขาเมืองยะลา กล่าวเน้นย้ำว่า การปลูกพืชแซมหรือพืชร่วมอย่างสับปะรดถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญในการสร้างรายได้ระหว่างรอพืชหลักให้ผลผลิต
“สับปะรดเป็นพืชทนแล้ง ไม่ต้องการน้ำมาก แถมยังช่วยควบคุมวัชพืชในแปลง ลดต้นทุนการใช้สารเคมีปราบวัชพืชและปุ๋ยที่เราให้พืชแซม หรือพืชร่วมก็จะเกื้อกูลไปถึงพืชหลักด้วย ถือเป็นแปลงตัวอย่างที่ดี”
กยท. เมืองยะลา พร้อมขับเคลื่อนและขยายเครือข่ายการปลูกสับปะรดในกลุ่มผู้ขอรับทุนการปลูกแทน โดยมีการให้ความรู้ การสนับสนุนการหาตลาด ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และพร้อมให้เกษตรกรที่ประสบความสำเร็จเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกรในตำบลอื่นๆ ที่สนใจต่อไป
