นายกฯ สั่งการทุกหน่วยงานดูแลประชาชนให้ดีที่สุด กองทัพ ยืนยันกัมพูชาโจมตีไทยก่อนไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและปกป้องอธิปไตย

หลังจากกำลังทหารกัมพูชาได้เปิดฉากใช้อาวุธยิงใส่กำลังพลฝ่ายไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา จนกลายเป็นเหตุปะทะกันและบานปลายต่อเนื่องในหลายพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจนถึงปัจจุบัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไท ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างเต็มกำลัง ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลจะดําเนินการตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ได้ประชุมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 โดยจะปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นตามความจําเป็น พร้อมมอบหมาย

1. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนที่ต้องอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ ความปลอดภัย อาหารน้ำดื่ม การบริการทางการแพทย์

2. ขอให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เตรียมการเรื่องงบประมาณ
ในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัยตามหลักเกณฑ์เดิม เพื่อให้มีความพร้อมและสามารถโอนเงินให้ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้าเหมือนครั้งที่ผ่านมา

3. ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้สื่อสารข้อมูลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง ชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นายกรัฐมนตรี ยังให้รัฐมนตรีที่ว่างเว้นจากภารกิจปกติ ให้ช่วยกันสับเปลี่ยนหมุนเวียนลงไปให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตามศูนย์พักพิงต่าง ๆ ในแต่ละจังหวัด

ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า (8 ธ.ค.) ได้รับแจ้งจากกรมบัญชีกลางว่าได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ เพิ่มเติม จังหวัดละ 100 ล้านบาท เพื่อให้จังหวัดสามารถช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และทันต่อสถานการณ์ เนื่องจากยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือตามประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือฯ และยังไม่ได้ประกาศยุติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2568 ต่อไป

ส่วนสถานการณ์การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่จังหวัดสระแก้ว วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เวลา 19.00 น. กองกำลังบูรพา เข้าดำเนินกลยุทธ์ต่อที่หมายเป็นวันที่ 2 โดยมีการปฏิบัติ ดังนี้

– พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง หน่วยเฉพาะกิจที่ 12 ได้ยึดและควบคุมพื้นที่อธิปไตยของไทยบ้านหนองหญ้าแก้วเป็นที่เรียบร้อย ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 ซึ่งในช่วงเช้าวันต่อมาได้เข้าเคลียร์พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชามีการเตรียมการจะใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ โดยตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 จำนวน 2 ทุ่น สภาพพร้อมใช้งาน นอกจากนี้ ยังตรวจพบระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 2 ชุด ดำเนินการเก็บกู้เป็นที่เรียบร้อย

– พื้นที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเข้าปฏิบัติการต่อที่หมาย โดยฝ่ายกัมพูชามีการต้านทานอย่างหนักด้วยการยิงจากอาวุธชนิดต่างๆ โดยเฉพาะจรวดหลายลำกล้อง BM – 21 เข้ามายังหมู่บ้านที่ชาวกัมพูชาเคยอยู่อาศัยก่อนเกิดสถานการณ์ความขัดแย้ง

– พื้นที่บ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา หน่วยเฉพาะกิจที่ 11 เข้าปฏิบัติต่อที่หมาย โดยมีการปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ การใช้รถถัง ยิงทำลายบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ที่อยู่ติดแนวชายแดนในพื้นที่ตรงข้ามจุดผ่อนปรนทางการค้าบ้านตาพระยา ซึ่งใช้เป็นที่ตั้งยิงปืนกล และอาวุธยิงสนับสนุนต่างๆ รวมถึงเป็นแหล่งรวบรวมยุทโธปกรณ์ ที่จะใช้ปฏิบัติต่อฝ่ายไทย ทั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจที่ 11 สามารถควบคุมพื้นที่บริเวณบ้านคลองแผงได้บางส่วน พร้อมกับได้วางลวดหนามตลอดแนวที่ควบคุมได้ไว้ในเบื้องต้น

สำหรับกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 จำนวน 5 นาย ปัจจุบันทุกนายมีอาการปลอดภัย และวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ได้รับรายงานกำลังพลได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติมอีก 1 นาย ปัจจุบันอาการปลอดภัย นอกจากนี้ได้รับรายงานพบลูกกระสุนปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดของฝ่ายกัมพูชา ตกใส่บ้านเรือนประชาชน ในพื้นที่บ้านโคกทหาร ตำบลทัพเสด็จ อำเภอตาพระยา และพื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง ทำให้บ้านเรือนประชาชน เสาไฟฟ้า และถนน ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

สำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดน จังหวัดสระแก้ว ใน 4 อำเภอ อพยพแล้ว จำนวน 180,683 คน คิดเป็นร้อยละ 83 ซึ่งจังหวัดสระแก้วร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว 5 พื้นที่ ได้แก่ อ.เมือง โคกสูง วังน้ำเย็น เขาฉกรรจ์ และวัฒนานคร มีประชาชนเข้าพักอาศัย รวม 15,560 คน นอกจากนี้ศูนย์อำนวยการ จิตอาสาพระราชทาน ภาค 1 โดย ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 19 ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน จังหวัดสระแก้ว ร่วมกับส่วนราชการและประชาชนจิตอาสา ร่วมกันดูแลประชาชนภายในศูนย์พักพิงชั่วคราว ณ จังหวัดสระแก้ว ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ จัดตั้งโรงครัวพระราชทานปรุงอาหารแจกจ่ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว

ศูนย์ปฏิบัติการพื้นที่กองทัพบกที่ 2 รายงานสถานการณ์โดยรวมตั้งแต่เวลา 09.00 ถึง 17.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2568 ทหารกัมพูชาโจมตีฝ่ายไทยอย่างหนัก การสู้รบ ขยายวงกว้างและมีความรุนแรงด้วยจรวดหลายลำกล้อง
BM-21 ประมาณ 125 ครั้ง กระสุนลูกจรวด 5,000 นัด โดรนพลีชีพหรือโดรน FPV จำนวน 33 พื้นที่ ใส่ฐานและ
ที่มั่นของฝ่ายไทยในหลายแนวรบ โดยเฉพาะในพื้นที่ ช่องอานม้า และช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เถียงตาม็อก จังหวัดศรีสะเกษ และช่องคนา ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยอาวุธอย่างได้สัดส่วน ปัจจุบันยังมีสถานการณ์อยู่ตลอดแนวการวางกำลัง จากผลการปะทะกันอย่างหนักตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายไทยได้สูญเสียกำลังพลจำนวน 4 นาย บาดเจ็บรวม 68 นาย ฝ่ายกัมพูชาเสียชีวิต 61 นาย บาดเจ็บยังประเมินไม่ได้

ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นำโดย พลเรือตรี สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกลาโหม พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ และพลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ในภาพรวม ซึ่งในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ อาทิ BBC CNN Reuters Al Jazeera และ CNA เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุด และแก้ไขความเข้าใจผิดจากข้อมูลบิดเบือนในสื่อสังคมออนไลน์

กองทัพบก ได้ลำดับเหตุการณ์การปะทะกันตลอดทั้งวัน ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และยืนยันว่าจะปฏิบัติการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ภายใต้กฎการใช้กำลัง และสิทธิในการป้องกันตนเอง จนกว่าภัยคุกคามในพื้นที่ชายแดนจะยุติลง เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชนไทยตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรม ยืนยันไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มความรุนแรง แต่มีหน้าที่ตอบสนองต่อการล่วงละเมิดอธิปไตยอย่างจำเป็นและเหมาะสม

กองทัพเรือ ยังคงดำเนินการทางทหารต่อเป้าหมายทางทหารที่เป็นภัยต่อความมั่นคง บริเวณชายแดนฝั่งทะเล เพื่อหยุดยั้งการคุกคามต่อฝ่ายไทย โดยยืนยันว่า ทุกการปฏิบัติเป็นไปเพื่อการป้องกันอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน

กองทัพอากาศ ยึดมั่นหลักการปฏิบัติการว่าด้วยการลดความเสียหายต่อพลเรือน การดำเนินการร่วมกับกำลังภาคพื้น การดำเนินการทางทหารเพื่อทำลายเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังสูงสุด โดยใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อพลเรือนน้อยที่สุด (Minimal Collateral Damage) อีกทั้งยังยึดมั่นพันธกิจในการคุ้มครองพลเรือน โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการมุ่งรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นหลัก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ส่วนหลังอย่างเต็มที่ เพิ่มการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เสี่ยง เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ จุดคมนาคม และระบบสาธารณูปโภค และขอความร่วมมือประชาชน หากพบบุคคลต้องสงสัยหรือวัตถุต้องสงสัย ให้แจ้ง 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ พลเรือตรี สุรสันต์ ย้ำว่าการปฏิบัติของฝ่ายไทยมุ่งโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหาร เพื่อลดขีดความสามารถทางการรบของฝ่ายกัมพูชา ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐาน และสถานที่สำคัญทางพลเรือนอย่างไม่จำเป็น ประเทศไทยต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพนั้นต้องมาคู่กับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนไทยเป็นสำคัญ และขอเน้นย้ำจุดยืนของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อประชาชนและสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศว่า กัมพูชาโจมตีไทยก่อน และไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยของประเทศ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด

ด้าน นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการปะทะหลายจุดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้โรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยง 19 แห่ง ต้องปิดให้บริการบางส่วน 11 แห่ง และปิดบริการชั่วคราว 8 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลน้ำยืน โรงพยาบาลนาจะหลวย โรงพยาบาลน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี โรงพยาบาลกันทรลักษณ์ โรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โรงพยาบาลกาบเชิง โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดสุรินทร์ และ โรงพยาบาลตาพระยา จังหวัดสระแก้ว โดยมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยใน 534 ราย ไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัย ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในพื้นที่เสี่ยง 174 แห่ง ปิดบริการบางส่วน 7 แห่ง และปิดชั่วคราว 167 แห่ง หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นได้เตรียมพร้อมโรงพยาบาลรับส่งต่อ มีเตียงผู้ป่วยวิกฤต (ICU) 368 เตียง และเตียงผู้ป่วยทั่วไป 4,323 เตียง

ส่วนศูนย์พักพิงที่เปิดขณะนี้มี 619 จุด มีประชาชนเข้าพักรวม 147,050 คน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยฟอกไต หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรัง รวม 20,920 คน ได้จัดเจ้าหน้าที่และบุคลากรการแพทย์ปฏิบัติงานดูแลตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีทีมปฏิบัติการด้านสุขภาพลงพื้นที่ ประกอบด้วย ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์เคลื่อนที่เร็ว (Mini-MERT) 23 ทีม ทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินระดับสูง (ALS) 56 ทีม ทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค (Joint Investigation Team: JIT) 51 ทีม ทีมปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม (Special Environmental Health Response Team : SEhRT) 19 ทีม และทีมช่วยเหลือทางด้านจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) 34 ทีม โดยจากการคัดกรองสุขภาพจิตประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสระแก้ว รวม 13,058 ราย พบเครียดสูงและเสี่ยงทำร้ายตนเองรวม 23 ราย ได้ให้การปฐมพยาบาลทางจิตใจ และเข้ารับการดูแลตามกระบวนการแล้ว ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงปฏิบัติตามคำแนะนำของจังหวัดและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างเคร่งครัด และติดตามข้อมูลจากหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือตื่นตระหนก

ขณะที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาที่เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่องในหลายจุด ส่งผลให้ชุมชนพื้นที่ชายแดนต้องเฝ้าระวังสูงสุด โรงเรียนจำนวนมากได้รับผลกระทบโดยตรง ล่าสุดพบว่า สถานศึกษาที่สั่งปิดเรียนชั่วคราวมีทั้งสิ้น 990 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว อุบลราชธานี และตราด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ใกล้แนวปะทะและเสี่ยงต่อสถานการณ์ความไม่สงบ ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ เปิดโรงเรียนเป็นศูนย์พักพิงให้แก่บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงเด็กนักเรียนและประชาชนในพื้นที่แล้วรวม 22 แห่ง สามารถรองรับประชาชนได้สูงสุด 14,280 คน โดยทุกศูนย์มีการเตรียมพร้อมเครื่องนอน อาหาร น้ำดื่ม ระบบไฟฟ้า ห้องสุขา และพื้นที่ดูแลเด็กเล็กอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่บูรณาการร่วมกับฝ่ายความมั่นคง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายในทุกระดับ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพนักเรียนและครูอย่างใกล้ชิด รวมถึงเตรียมระดมทรัพยากรไปสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยง ทั้งอาหาร เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ฉุกเฉิน ตลอดจนทีมดูแลด้านจิตใจให้เด็กและครู เพื่อบรรเทาความเครียดจากสถานการณ์ และสร้างความมั่นคงด้านสวัสดิภาพ
ในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง