คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักเกณฑ์ แนวทาง และอัตราการจ่ายเงินค่าปลงศพ ผู้ประสบอุทกภัยและขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัย เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการเพิ่มเติมพื้นที่ในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเป็นค่าปลงศพอีก 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี ยะลา พัทลุง นราธิวาส สตูล และตรัง
2. เห็นชอบในหลักเกณฑ์ แนวทาง และอัตราการจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัย ตั้งแต่วันที่ 17-30 พฤศจิกายน 2568 ทั้งนี้ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมให้หน่วยงานพิจารณาดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว และขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
3. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติมอีกจำนวนเงิน 164,000,000 บาท เพื่อจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยตามหลักเกณฑ์ แนวทาง และอัตราค่าการจ่ายเงินปลงศพผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และตรัง โดยให้จังหวัดที่มีผู้ประสบอุทกภัยเสียชีวิตดังกล่าว เร่งรัดดำเนินการตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย
ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณเยียวยาค่าปลงศพ น้ำท่วมภาคใต้ รายละ 2 ล้านบาท ที่เพิ่มอีก 8 จังหวัด นอกเหนือจากจังหวัดสงขลา โดยงบประมาณที่จ่ายจะมาจาก 2 แหล่ง ได้แก่ กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี จ่าย 1 ล้านบาท (วงเงิน 164 ล้านบาท) และจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จ่าย 1 ล้านบาท (วงเงิน 164 ล้านบาท)
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ยังเห็นชอบการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และขอทบทวนเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 และวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568
2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม 10,405,769,100 บาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ผ่านธนาคารออมสิน โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้
เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ มีความรุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้ประสบภัยอย่างรุนแรง ประกอบกับเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย และรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จึงมีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอขอค่าช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นให้แก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัย เป็นกรณีพิเศษ ต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1. ให้ความช่วยเหลือในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท กรณีดังต่อไปนี้
1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง เกินกว่า 7 วันขึ้นไป
3) กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป
4) กรณีที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัยจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป
2. ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ประสบอุทกภัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกัน ในอัตราดังต่อไปนี้
1) ตั้งแต่ 31-60 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
2) ตั้งแต่ 61-90 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 10,000 บาท
3) ตั้งแต่ 91-120 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 15,000 บาท
4) ตั้งแต่ 121 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 20,000 บาท
3. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ให้แล้วเสร็จและครบถ้วนโดยเร็ว
โดยไม่ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ มอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้เสนอทบทวนหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว “โดยต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
จากผู้นำชุมชนหรือ ผู้ใหญ่บ้าน หรือ กำนัน คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับรอง”
ทั้งนี้ ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
4. ผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา 19.55 น.)
(1) ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยแล้ว จำนวน 522,585 ครัวเรือน จำนวนเงิน 4,707,749,000 บาท
(2) อยู่ระหว่างรอโอนจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 388,268 ครัวเรือน จำนวนเงิน 3,494,412,000 บาท
ดังนั้น เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม จึงเห็นควรขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม จำนวน 10,405,769,100 บาท เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และให้การดำรงชีพกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรี ยังมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงานเรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ และการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. … ตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ ซึ่งเป็นการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบของนายจ้างและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างตามมาตรา 47 วรรคสอง และการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัยในภาคใต้รวม 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ในงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ถึงงวดเดือนเมษายน พ.ศ. 2569 เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ดังกล่าว โดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2568
เป็นต้นไป ดังนี้
กรณี นายจ้างที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างตามมาตรา 34 และขึ้นทะเบียนลูกจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จากเดิมต้องยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบให้แก่สำนักงานภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ ได้รับการขยายกำหนดเวลายื่นแบบรายการฯ และการนำส่งเงินสมทบเป็นระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้
1. ค่าจ้างงวดเดือนพฤศจิกายน 2568 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2569
2. ค่าจ้างงวดเดือนธันวาคม 2568 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2569
3. ค่าจ้างงวดเดือนมกราคม 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2569
4. ค่าจ้างงวดเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 กันยายน 2569
5. ค่าจ้างงวดเดือนมีนาคม 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2569
6. ค่าจ้างงวดเดือนเมษายน 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2569
กรณี ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งมีทะเบียนผู้ประกันตนในท้องที่ที่กำหนดจากเดิมต้องนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเป็นระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้
1. เงินสมทบงวดเดือนพฤศจิกายน 2568 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2569
2. เงินสมทบงวดเดือนธันวาคม 2568 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2569
3. เงินสมทบงวดเดือนมกราคม 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2569
4. เงินสมทบงวดเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 กันยายน 2569
5. เงินสมทบงวดเดือนมีนาคม 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2569
6. เงินสมทบงวดเดือนเมษายน 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2569
สำหรับการขยายระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบเป็นระยะเวลา 6 เดือน ในพื้นที่ 9 จังหวัดดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนประกันสังคมได้รับเงินสมทบช้าลง เป็นจำนวนเงิน 4,334 ล้านบาท ซึ่งไม่กระทบต่อการบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีนัยสำคัญและทำให้กองทุนประกันสังคมเสียโอกาสในการลงทุน 6 เดือน ภายใต้สมมติฐานผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 5 ต่อปี คิดเป็นเงินจำนวน 108 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานะของกองทุนประกันสังคมอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน หากแต่ยังคุ้มค่าต่อการช่วยให้นายจ้างและผู้ประกันตนมีโอกาสอยู่ในระบบประกันสังคมในระยะยาว








