ตามที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 โดยแถลงถึงด้านเศรษฐกิจในการสร้างรายได้ เพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้างโอกาสให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น ซึ่งมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาตินั้น จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการให้เงินสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในสาขาแอนิเมชัน วิชวลเอฟเฟกต์ (Visual Effects) และงานหลังการผลิต (Post-Production : การตัดต่อ ภาพ เสียง เป็นต้น) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างรายได้ที่มาจากต่างประเทศ และเป็นการพัฒนาศักยภาพแรงงานทักษะสูงของไทย โดยอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างผลิตมูลค่าสูง ซึ่งสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) รายงานมูลค่าอุตสาหกรรมนี้ ในปี 2567 มีการจ้างงานรวมกว่า 3,222 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการผลิตใช้ในประเทศ 1,019 ล้านบาท และมูลค่าการรับจ้างจากต่างประเทศ 2,303 ล้านบาท ดังนั้นการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติจึงเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อสร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยในเวทีนานาชาติ แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่มีมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์จึงทำให้เกิดความเสียเปรียบในการแข่งขัน ผู้ประกอบการต่างชาติจึงหันไปจ้างผู้ประกอบการในประเทศที่มีมาตรการให้เงินสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการจ้างมากกว่า เช่น สหพันธรัฐมาเลเซียให้เงินสนับสนุน 30-35% ไต้หวันให้เงินสนับสนุน 30% สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ให้เงินสนับสนุน 20% และนิวซีแลนด์ให้เงินสนับสนุน 20% เป็นต้น
คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการเงินคืน โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้กำหนดนิยามชื่อมาตรการใหม่คือ “มาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ” และได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการดังกล่าว
(9 ธ.ค. 68) คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตคอนเทนต์ของต่างชาติ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม เสนอ พร้อมกันนี้ยังเห็นสมควรที่กระทรวงวัฒนธรรมจะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เหมาะสม และศึกษาวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างรอบคอบ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์ สิทธิประโยชน์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินงานที่ชัดเจนเหมาะสม และโปร่งใส ให้ครอบคลุมทั้งด้านการลงทุน การจ้างงานและการพัฒนาทักษะแรงงานไทย ผลลัพธ์ตอบแทนต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งสามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และไม่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้โดยไม่จำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหากกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแสดงให้เห็นถึงที่มาของการคำนวณอัตราการคืนเงิน ที่เหมาะสม และพิจารณาแล้วเห็นว่าการจ่ายเงินคืนตามมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ มีความคุ้มค่า และคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญแล้ว ก็เห็นควรให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและสอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป โดยพิจารณาให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ สำหรับมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมการผลิต ยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ส่งเสริมศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระดับนานาชาติ ส่งเสริมการจ้างแรงงานไทย พัฒนาทักษะและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รวมถึงรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูล ค่าใช้จ่ายเพื่อกำหนดนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อไป
2. ผู้มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ คือ บริษัทต่างชาติที่มีสัญญาจ้างบริษัทไทยวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไปต่อสัญญา และมอบหมายให้ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ยื่นคำขอรับสิทธิประโยชน์แทน โดยผู้ประกอบการไทยที่เป็นผู้รับจ้าง ต้องเป็นนิติบุคคลด้านแอนิเมชัน วิชวลเอฟเฟกต์ หรือ Post-Production มีผู้ถือหุ้นและกรรมการ กึ่งหนึ่งเป็นคนไทย เปิดกิจการไม่น้อยกว่า 2 ปี มีค่าใช้จ่ายจ้างพนักงานไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และมีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย
3. สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ คือ เงินสนับสนุนร้อยละ 20 ของค่าจ้างตามสัญญา
4. เงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ ได้แก่ ผู้ประกอบการไทยที่เป็นผู้รับจ้าง ต้องยื่นแสดงความประสงค์ขอรับสิทธิมาตรการก่อนเริ่มดำเนินการตามรายการรับจ้างและสามารถยื่นได้หลายสัญญา โดยภาครัฐจะจ่ายเงินคืนครั้งเดียวแก่บริษัทต่างชาติโดยตรงเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จตามสัญญา มีหลักฐานการส่งมอบงาน และหลักฐานการรับเงินค่าจ้างบริษัทต่างประเทศ ทั้งนี้กระทรวงวัฒนธรรมได้ประมาณการวงเงินที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อปีประมาณปีละ 500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะขอรับการจัดสรรงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 200 ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป จะขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีวงเงินประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เห็นว่า การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวกระทรวงวัฒนธรรมได้ประมาณการวงเงินที่ขอรับการจัดสรรต่อปี ประมาณปีละ 500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงินประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ข้อ 9 (3) กำหนดให้สำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้แก่หน่วยรับงบประมาณ ซึ่งในกรณีวงเงินที่เกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท สำนักงบประมาณจะเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว สำนักงบประมาณจะแจ้งให้หน่วยรับงบประมาณนำเรื่องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น จึงเห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว สำหรับประโยชน์ของมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตคอนเทนต์ของต่างชาตินี้ จะทำให้ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมด้านแอนิเมชันและกระบวนการให้บริการด้านงานหลังการผลิต (Post – Production Service) มีความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันการเจรจาธุรกิจกับผู้จ้างจากต่างประเทศ ลดค่าเสียโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย ดึงดูดการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายในการจ้างงานหลักในอุตสาหกรรม อีกทั้งเป็นการช่วยส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในประเทศไทย เกิดการพัฒนาทักษะลดการเคลื่อนย้ายของแรงงานไทยที่จะออกไปทำงานที่ต่างประเทศ และสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรม








