“สุชาติ” เร่งมาตรการ “เคาะประตูบ้าน” สร้างการรับรู้ป้องกันไฟป่างดเผา ลดฝุ่น PM2.5 เตือนประชาชน 11–13 ธ.ค. 68 ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ใส่หน้ากากอนามัย ลดกิจกรรมกลางแจ้ง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ในช่วงการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568 ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มสูงขึ้นจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่ไม่เอื้อต่อการระบายมลพิษ ทั้งมวลอากาศเย็น ลมนิ่ง และการสะสมของฝุ่นในเขตเมือง รัฐบาลจึงขอความร่วมมือประชาชนและภาคเอกชนร่วมลดการปล่อยมลพิษเพื่อบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่น โดยเฉพาะบริเวณใกล้สถานที่จัดการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลและหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การตั้งจุดกวดขันจับกุมรถควันดำ การหลีกเลี่ยงการติดเครื่องยนต์ขณะจอดนิ่ง การงดการเผาขยะ เผาเศษวัสดุการเกษตรหรือการเผาในที่โล่งทุกประเภท รวมถึงการให้โรงงานอุตสาหกรรมควบคุมการระบายฝุ่นละอองอย่างเคร่งครัดตลอดช่วงการแข่งขัน

สำหรับประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมชมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ขอความร่วมมือใช้รถโดยสารสาธารณะเพื่อลดความหนาแน่นบนถนน ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของฝุ่น PM2.5 ในเขตเมือง หากค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน ขอให้ดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ ควรลดกิจกรรมกลางแจ้ง และหากจำเป็นต้องออกนอกบ้านให้สวมใส่หน้ากากอนามัยตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศได้ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ

อีกทั้ง นายสุชาติ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5
อย่างใกล้ชิด หลังศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ รายงานว่า ในช่วงวันที่ 11–13 ธันวาคม 2568 ค่าฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นและอาจเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ ทั้งนี้จากข้อมูลคุณภาพอากาศเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 พบว่าบางพื้นที่ของประเทศเริ่มมีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง รวมถึงบางจุดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์สถานการณ์ในระยะถัดไป ซึ่งได้กำชับให้หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ บูรณาการความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการเผาในที่โล่ง การติดตามแหล่งกำเนิดฝุ่นในพื้นที่เสี่ยง และการเตรียมมาตรการดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) เร่งขับเคลื่อนมาตรการเรือธง “เคาะประตูบ้าน” อย่างเข้มข้น เพื่อสร้างการรับรู้และขอความร่วมมือจากประชาชนในการป้องกันไฟป่า และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูไฟป่าอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดพื้นที่เผาไหม้ในป่าอนุรักษ์ลงให้ได้ถึง ร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี

จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงพบกลุ่มบุคคลลักลอบเผาป่าเพื่อล่าสัตว์ หาของป่า หรือแม้แต่การจุดไฟกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อทรัพยากรป่าไม้ และสุขภาพของประชาชน ที่ผ่านมา มาตรการ “เคาะประตูบ้าน” ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญเชิงรุกที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือจากประชาชนโดยตรงในการ “ห้ามเผา” เพื่อป้องกันไฟป่าและลดฝุ่น PM2.5 พร้อมทั้งใช้กลไกท้องถิ่นเป็นแกนหลักควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่าอย่างยั่งยืน ซึ่งผลจากการขับเคลื่อนมาตรการ “เคาะประตูบ้าน” ตั้งแต่วันที่ 1 – 8 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ในพื้นที่สถานีควบคุมไฟป่าและหน่วยงานในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกครัวเรือนของชุมชนเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ประเด็นหลัก คือ การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 การขอความร่วมมือในการงดเว้นการเผาในทุกรูปแบบ และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวังและป้องกันไฟป่า อาทิ ในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ สถานีควบคุมไฟป่าปางมะผ้า (แม่ฮ่องสอน) สถานีควบคุมไฟป่าดอยภูคา (น่าน) และสถานีควบคุมไฟป่าพะเยา (เชียงราย) พื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ สถานีควบคุมไฟป่าหุบกะพง (เพชรบุรี) ดำเนินการที่หมู่บ้านดอนขุนห้วยและหมู่บ้านใหม่พัฒนา พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ การจัดกิจกรรม Kick off ภายใต้แนวคิด“หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา” ที่ภูสอยดาว (พิษณุโลก) และดำเนินการครอบคลุมหลายตำบลรอบแนวเขตอุทยานแห่งชาติภูเรือ (เลย) และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง และในพื้นที่ภาคตะวันตก ได้แก่ สถานีควบคุมไฟป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านทิศตะวันตก (กาญจนบุรี) ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำหนดแนวทางการจัดการเชื้อเพลิงด้วยการชิงเก็บชิงเผาพื้นที่ทำกินของชุมชน ตามมาตรา 121 แห่ง พระราชบัญญัติ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562

นายสุชาติ ยังย้ำว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกัน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ที่ฝ่าฝืนลักลอบเผาป่า เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการจัดการไฟป่าอย่างยั่งยืน และขอเชิญชวนประชาชนร่วมมือกันในการ “หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา” เพื่ออากาศที่สะอาดและสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับคนรุ่นต่อไป และหากพบเห็นการลักลอบเผาป่า สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้อธิบายถึงผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ไว้ว่า PM2.5 คือ
ฝุ่นละอองที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือเล็กประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผม มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ลอยอยู่ในอากาศได้นาน อาจมีสารพิษเกาะมาด้วย ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้น มีขนาดเล็กมากจนขนจมูกไม่สามารถกรองได้ สามารถเข้าถึงทางเดินหายใจและไปถึงปอด เข้าไปในถุงลมฝอยขนาดเล็ก ซึมผ่านกระแสเลือด ไปรบกวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ จนเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้  

– ผลกระทบระยะสั้น ทำให้มีอาการไอ จาม ระคายเคืองผิวหนัง เกิดผื่น คัน ระคายเคืองตา แสบตา และตาแดง

– ผลกระทบระยะยาว ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หัวใจวาย ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ความดันโลหิตสูง ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้หัวใจเต้น
ผิดจังหวะ เป็นโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง มะเร็งปอด เบาหวาน เสี่ยงแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด กระทบต่อพัฒนาการ และระบบสมองของทารก ทารกแรกคลอดผิดปกติ หรือน้ำหนักน้อย

อาการเบื้องต้นจะรู้สึกแสบตา ปวดศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน แสบจมูก อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก และระคายเคืองผิวหนัง ทั้งนี้ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ เด็กที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจอาจมีอาการกำเริบและรุนแรงมากขึ้น ควรดูแลสุขภาพตนเองและคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด หากอาการยังไม่ทุเลาลง ควรรีบไปพบแพทย์

ฝุ่น PM2.5 จะส่งผลกระทบมากในกลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย

1. เด็กเล็ก เนื่องจากชอบเคลื่อนไหว ปอดกำลังพัฒนา อัตราการหายใจเร็ว ทำให้ได้รับสารมลพิษมากกว่าผู้ใหญ่ในช่วงเวลาเท่ากัน

2. ผู้สูงอายุ ซึ่งระบบหายใจเสื่อมตามวัย มีโอกาสเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ถุงลมโป่งพอง ปอดเรื้อรัง โรคระบบหัวใจ และหลอดเลือด

3. หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์กำลังพัฒนาอาจได้รับผลกระทบจากมลพิษที่มารดาได้รับผ่านทางสายรก

4. ผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ป่วยภูมิแพ้มีอาการจมูกอักเสบ ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด เจ็บหน้าอก
หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจหัวใจล้มเหลวได้ รวมถึงคนทำงานกลางแจ้ง เช่น ตำรวจจราจร พนักงานกวาดถนน พ่อค้าแม่ค้าริมถนน คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง คนทำงานอยู่นอกอาคาร ที่ได้รับ PM2.5 เป็นเวลานาน จะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ส่วนความรุนแรงของผลกระทบต่อสุขภาพจะขึ้นอยู่กับ ปริมาณของฝุ่นละออง ช่วงเวลา ระยะเวลาที่สัมผัส ชนิดกิจกรรมที่ทำ โดยเฉพาะการออกกำลังกาย หรือทำงานหนักในพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูง และลักษณะของบุคคล โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง จะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่น

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ได้ที่เว็บไซต์ Air4Thai.pcd.go.th และแอปพลิเคชัน Air4Thai เพื่อวางแผนการใช้ชีวิตและป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างเหมาะสม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง