ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่จังหวัดสระแก้ว ว่า กองกำลังบูรพา ปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตยในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยมีการปฏิบัติใน 5 พื้นที่ ดังนี้ 1. พื้นที่บ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา หน่วยเฉพาะกิจที่ 11 เข้าปฏิบัติต่อที่หมาย โดยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 สามารถยึดและควบคุมพื้นที่ได้บางส่วนนั้น วันที่ 10 ธันวาคม 2568 ถูกต้านทานอย่างหนักจากฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะอาวุธวิถีโค้ง และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 กว่า 80 นัด ทำให้ไม่สามารถยึดและควบคุมพื้นที่ได้อย่างสมบูรณ์
2. พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง หน่วยเฉพาะกิจที่ 12 ได้ยึดและควบคุมพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 และได้ดำเนินการสถาปนาที่มั่น โดยพัฒนาเป็นจุดต้านทานแข็งแรง ซึ่งฝ่ายกัมพูชายังมีการตอบโต้ด้วยอาวุธวิถีโค้งเป็นระยะ และยังได้ระดมยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 จำนวนกว่า 20 นัด ตกในพื้นที่หมู่บ้านและไร่นาประชาชนได้รับความเสียหาย
3. พื้นที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง หน่วยเฉพาะกิจที่ 12 อยู่ระหว่างการเข้าปฏิบัติการต่อที่หมาย โดยฝ่ายกัมพูชามีการต้านทานอย่างหนักด้วยการยิงจากอาวุธชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามายังบ้านเรือนที่ชาวกัมพูชาเคยรุกล้ำอาศัยอยู่ รวมถึงในหมู่บ้านและไร่นาประชาชนไทยจนได้รับความเสียหาย ทั้งนี้มีเหตุการณ์การปฏิบัติที่สำคัญ คือ เมื่อเวลา 10.00 น. กองกำลังบูรพาและกองทัพอากาศไทย ร่วมปฏิบัติการทางอากาศ โดยเครื่องบินโจมตีแบบ F-16 โจมตีเป้าหมายทางทหารฝ่ายกัมพูชา จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ กองพันทหารกัมพูชาประจำชายแดน 503 ตรงข้ามบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
4. พื้นที่บ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 4 วางกำลังคุ้มครองพื้นที่ มีการปะทะเป็นระยะๆ ด้วยอาวุธปืนเล็ก
5. พื้นที่อำเภอคลองหาด หน่วยเฉพาะกิจที่ 13 วางกำลังคุ้มครองพื้นที่ ซึ่งได้ตรวจพบรถสายพานลำเลียงพล 3 คัน ในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม คาดว่าจะทำการเพิ่มเติมกำลังให้กับหน่วยทางด้านทิศเหนือ จึงใช้อาวุธปืนใหญ่ยิงขัดขวางการเคลื่อนที่ ปัจจุบันยังมีการตรึงกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย
สำหรับกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2568 จำนวน 14 นาย นอกจากนี้ จากการที่ฝ่ายกัมพูชามีการใช้ปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดรวมถึงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยิงใส่ฝ่ายไทย โดยไม่คำนึงถึงประเภทเป้าหมาย เป็นผลให้บ้านเรือนประชาชน ไร่นา เสาไฟฟ้าและถนน ในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูงและบ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา ได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
สำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดน จังหวัดสระแก้ว ใน 4 อำเภอ ได้มีการอพยพแล้ว จำนวน 180,683 คน คิดเป็นร้อยละ 83 ซึ่งทางจังหวัดสระแก้วร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว 5 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอเมือง โคกสูง วังน้ำเย็น เขาฉกรรจ์ และวัฒนานคร มีประชาชนเข้าพักอาศัย รวม 18,030 คน ทั้งนี้ กองกำลังบูรพา ได้ออกหนังสือแจ้ง เรื่องห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด (19.00 – 05.00 น.) ในพื้นที่ 4 อำเภอตามแนวชายแดน จังหวัดสระแก้ว ประกอบด้วย ตาพระยา โคกสูง อรัญประเทศ และคลองหาด เพื่อให้การปฏิบัติการทางทหารเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ได้รับรายงานว่าชาวกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ตลาดโรงเกลือ เริ่มทยอยเดินทางกลับประเทศ บริเวณด่านถาวรบ้านคลองลึก โดยผ่านการตรวจสอบเอกสารก่อนเดินทาง ยอดรวมประมาณ 800 คน
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ยังคงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่ โดยฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามาในพื้นที่ฝ่ายไทยในหลายจุดสำคัญ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อกำลังพลและประชาชนในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้หน่วยปืนใหญ่ ยิงไปยังที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนต่าง ๆ ของฝ่ายข้าศึกทุกพื้นที่ ตามหลักการป้องกันตนเอง ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด สรุปการใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชาห้วงตั้งแต่วันที่ 7-10 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธ BM-21 จำนวน 79 ครั้ง ลูกจรวด 3,160 นัด ใช้ปืนใหญ่ จำนวน 122 นัด และใช้โดรนทิ้งระเบิด (FPV) จำนวน 63 ครั้ง 125 ลำ พื้นที่ช่องอานม้า ฝ่ายกัมพูชาได้ปฏิบัติการโจมตีหลายครั้ง ได้แก่ การใช้อาวุธยิงสนับสนุนและการใช้ระเบิดขว้างในพื้นที่ช่องอานม้า เนิน 677 และตลาดช่องอานม้าฝั่งไทย
พื้นที่พระวิหารฝ่ายกัมพูชาใช้เครนก่อสร้างในพื้นที่เป็นจุดตรวจการณ์ โดยมีการติดตั้งกล้องและอุปกรณ์ตรวจจับด้วยสัญญาณเรดาห์ ทำให้ในห้วงที่ผ่านมาฝ่ายทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียชีวิต จึงได้ดำเนินการยิงทำลายเครนก่อสร้างดังกล่าว เพื่อทำให้ฝ่ายกัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางทหาร
พื้นที่ปราสาทตาควาย ฝ่ายกัมพูชาใช้โดรนพลีชีพ FPV จำนวนมาก และชุดปฏิบัติการโดรน ฝ่ายไทยถูกโดรนข้าศึกทิ้งระเบิด กำลังพลปลอดภัย ฝ่ายตรงข้ามมีการยิงปืนออกมาจากตัวปราสาท ฝ่ายไทยใช้พลซุ่มยิงในการยิงตอบโต้ตามเหตุการณ์ และมีกระสุน BM-21 ตกในพื้นที่ อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 20 นัด
นอกจากนี้ฝ่ายกัมพูชายังใช้อาวุธยิงเข้าใส่พื้นที่พลเรือนฝ่ายไทย โดยตรวจพบการยิงอาวุธจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ใกล้เคียง โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ห่างประมาณ 500 เมตร ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้ประเมินความเสี่ยงแล้ว จึงต้องรีบแจ้งเตือนให้เคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยเข้าที่ปลอดภัย
สำหรับการเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือกำลังพลที่บาดเจ็บ หน่วยแพทย์กองทัพภาคที่ 2 ได้เตรียมความพร้อมในการรักษาพยาบาล โดยจัดตั้งที่พยาบาลพร้อมให้การรักษาพลเรือน และกำลังพลทหารเพื่อช่วยชีวิตในภาวะวิกฤต ก่อนที่จะส่งต่อการรักษาไปยังโรงพยาบาล โดยการส่งกลับผู้ป่วยดำเนินการด้วยรถพยาบาลเป็นหลัก และในกรณีผู้ป่วยวิกฤต ได้ประสานใช้เฮลิคอปเตอร์พยาบาล (Sky Doctor) เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ตอบโต้แถลงการณ์กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่ระบุว่าฝ่ายไทย ได้ยิงแก๊สพิษเข้ามาในพื้นที่ ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยของพลเรือน และละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ว่า กองทัพบกขอปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาที่ปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง และขอให้กัมพูชาหยุดเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือนซ้ำ ๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนของตนเองและนานาชาติ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คือ ฝ่ายกัมพูชา เปิดปฏิบัติการต่อฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา เช่น การระดมยิงด้วยปืนเล็กและอาวุธหนักต่อพื้นที่ประเทศไทย โดยไม่เลือกเป้าหมาย โดยเฉพาะการยิงจรวด BM-21 ลงพื้นที่ใกล้เคียงโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งพื้นที่เขตชุมชนอื่น ๆ ซึ่งไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและหลักกติกาสากล นอกจากนี้ กรณีที่ฝ่ายกัมพูชา ระบุว่ามีพื้นที่ของประชาชน รวมถึงโบราณสถานที่สำคัญ เช่น ปราสาทพระวิหาร และปราสาทตาควาย ได้รับความเสียหายจากการปะทะนั้น จากหลักฐานการข่าวสามารถยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาใช้พื้นที่ชุมชนพลเรือน อาคารบ่อนกาสิโน และโบราณสถาน เป็นที่กำบังในการเปิดปฏิบัติการทางทหาร หรือใช้โล่มนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนประเทศตนเอง เช่น ใช้พื้นที่ตัวปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่ปฏิบัติการทางทหาร ติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิด และปืนใหญ่ รวมทั้งระบบแอนตี้โดรนที่เตรียมโจมตีฝ่ายไทยเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ให้ความสำคัญและเคารพสถานที่ทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซ้ำยังนำมาเป็นเครื่องมือหนึ่งในปฏิบัติการทางทหารด้วย
กองทัพบก จึงขอประณามการกระทำของกัมพูชา ซึ่งละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงทุกข้อ และหลักกฎหมายมนุษยธรรมสากลในทุกด้าน โดยขอให้ยุติการดำเนินการต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบในบริเวณกว้าง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหาร และขัดต่อแนวทางในการดำเนินการสู่สันติภาพ อันจะทำให้ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือ ปัจจุบันเปิดหน้าแนวในการตอบโต้การรุกรานของกัมพูชา ทั้งสิ้น 7 จังหวัดตามแนวชายแดน (อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีษะเกษ สระแก้ว จันทบุรี และตราด) ที่ผ่านมากัมพูชายังคงโจมตีเป้าหมายต่างๆ ของไทยอยู่ ไม่ใช่เพียงเป้าหมายทางทหาร แต่เป็นเป้าหมายของประชาชนมีประชาชนได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการนี้มากมาย เนื่องจากอาวุธที่กัมพูชาใช้ เช่น BM- 21 ไม่มีความแม่นยำ สามารถทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ผ่านมาด้วย ด้านกระทรวงการต่างประเทศ ได้ปฏิบัติการเชิงรุกเช่นกันไปยังประชาคมโลก เพื่อตอกย้ำเหตุผลและความจำเป็นของไทยในการปกป้องตัวเอง พร้อมประกาศแจ้งเตือนคนไทยในกัมพูชาที่ไม่มีเหตุจำเป็นพิจารณาเดินทางออกจากกัมพูชาและขอให้คนไทยงดเว้นการเดินทางไปยังกัมพูชาจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
นาวาเอก นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือ ได้ปฏิบัติการ “ตราดปราบปรปักษ์” เพื่อทำลายอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้สามารถตอบโต้กำลังพลที่จะเข้ายึดพื้นที่ได้ ซึ่งกัมพูชาได้ใช้เป็นฐานโจมตีเข้ามาในพื้นที่บ้านสามหลัง บ้านหนองรี โดยฝ่ายไทยทำลายฐานที่มั่นกัมพูชาไปแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ เผาทำลายบ้านทั้งสามหลัง ทำลายตัวบังเกอร์ที่คาดจะใช้เก็บยุทโธปกรณ์และเครื่องกระสุนต่างๆ ถือเป็นการลิดรอนทำลายภัยคุกคามที่จะมีผลต่อกำลังพลของไทย ส่วนการโจมตีที่มั่นทางทหารไม่ได้โจมตีเพื่อทำลายตัวอาคาร แต่โจมตีเพื่อลดขีดความสามารถเป็นภัยคุกคาม ทั้งนี้ ยืนยันเป็นการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างมีสัดส่วนและสมเหตุสมผล
ซึ่งไม่ใช่เป็นการมุ่งเพื่อทำลายให้ราบเป็นหน้ากลอง
ส่วนการลงพื้นที่ดูแลความเป็นอยู่และให้กำลังใจประชาชนในศูนย์อพยพต่างๆ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อให้กำลังใจประชาชน ใน 4 อำเภอที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย- กัมพูชา ในศูนย์พักพิงของจังหวัดสระแก้ว โดยกล่าวว่า ได้ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วเพื่อให้กำลังใจประชาชนและส่งกำลังใจให้ทุกคนโดยเชื่อว่าสถานการณ์จะต้องดีขึ้นในเร็ววัน ซึ่งสั่งการให้ปลัดกระทรวงแรงงานจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตเพื่อสำรองโลหิตสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ได้รับข้อมูลว่า โรงพยาบาลหลายแห่งที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เกือบทุกจังหวัดขาดแคลนโลหิตในขั้นวิกฤต หากมีสถานการณ์รุนแรงจะมีโลหิตไม่เพียงพอที่จะดูแลทั้งทหารและประชาชน โดยจะจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น. บริเวณอาคารกระทรวงแรงงาน
นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่อพยพเข้ามาในศูนย์พักพิงชั่วคราวในเขตพื้นที่ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 2 จุด โดยได้มอบผ้าห่มจำนวน 900 ผืน และเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 200 แพ็ค นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากภาครัฐ และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงจนกว่าสถานการณ์ปลอดภัย โดยได้ย้ำถึงความห่วงใยของรัฐบาลต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย พร้อมกล่าวให้กำลังใจ และขอให้ทุกคนมั่นใจว่า รัฐบาล หน่วยงานความมั่นคง และองค์กรที่เกี่ยวข้อง กำลังทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อดูแลความปลอดภัยและชีวิตความเป็นอยู่ให้กับประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด
ด้านนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์อพยพประชาชน และแผนการเตรียมความพร้อมพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้ประชุมร่วมกับนายอำเภอทั้ง 25 อำเภอ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานของแต่ละศูนย์อพยพที่อยู่ในความดูแล ทั้งในด้านการจัดสถานที่ ความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย การจัดอาหาร น้ำดื่ม การบริการทางการแพทย์ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยในทุกมิติ โดยย้ำให้ทุกภาคส่วนเร่งสำรวจความต้องการของประชาชนแต่ละพื้นที่ พร้อมจัดระบบข้อมูลให้แม่นยำ เพื่อให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพสูงสุด และรองรับสถานการณ์ที่อาจยืดเยื้อ และได้มอบหมายให้จังหวัดและอำเภอเตรียมแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังอย่างรัดกุม เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัยและปกติสุขโดยเร็วที่สุด
ขณะที่นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้ประสบภัยจากกองกำลังนอกประเทศ ซึ่งได้เดินทางตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิงจุดต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมเชิญสิ่งของพระราชทานของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์มอบให้แก่ผู้ประสบภัย และมอบถุงยังชีพของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ ได้แจกจ่ายให้กับประชาชนให้เพียงพอและทั่วถึง ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษได้บูรณาการทุกภาคส่วนบริหารจัดการให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติภายในศูนย์พักพิงในทุกมิติ เช่น การประกอบอาหารเลี้ยงภายในศูนย์พักพิง การแจกจ่ายอาหารตามวงรอบ หน่วยบริการสาธารณสุขที่มีแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ประจำตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงศูนย์ พม. ใกล้คุณ ดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเปราะบางประจำศูนย์พักพิง ทั้งยังมีการฝึกอาชีพ การฝึกบินอากาศยานไร้คนขับ การฝึกการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายครัวเรือน เป็นต้น ส่วนงบประมาณค่าน้ำค่าไฟศูนย์พักพิงต่างๆ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการประปาส่วนภูมิภาคจะได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี พิจารณางดเว้นค่าไฟฟ้า-ค่าน้ำประปา
ศูนย์พักพิงด้วย
นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยรับผิดชอบหลักตามภารกิจกองกำลังป้องกันชายแดน และสนับสนุนการปฏิบัติในพื้นที่ส่วนหน้า รักษาความปลอดภัยพื้นที่ชายแดนเคียงข้างกองทัพ การอพยพครู-นักเรียน โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และให้ตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบติดต่อแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เป็นหน่วยเสริมหลักในการเตรียมกำลังพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติ พร้อมกำชับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องยกระดับการปฏิบัติการตามแผนพิทักษ์ส่วนหลัง ดูแลปกป้องรักษาความปลอดภัยของประชาชน โดยจัดชุดปฏิบัติการตำรวจ ออกตรวจตรา เพิ่มความเข้มในการดูแลทรัพย์สิน บ้านเรือนประชาชน ในช่วงที่มีการอพยพประชาชนออกจากบ้านพักไปสู่พื้นที่ปลอดภัย พร้อมทั้งให้ตำรวจติดตามและประเมินสถานการณ์ด้านการข่าว ประสานการปฏิบัติกับทุกภาคส่วน และเป็นหน่วยสนับสนุนการปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ได้ทันทีเมื่อได้รับการร้องขอหรือสั่งการ ขณะเดียวกันให้เน้นการป้องกันเหตุไม่สงบและตรวจตราบุคคลต้องสงสัยต่างๆ ที่อาจสร้างความวุ่นวายในพื้นที่หรือมีพฤติกรรมเป็นภัย หากประชาชนมีเบาะแส แจ้งเหตุ ต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทางสายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังสั่งการโรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลในสังกัดเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการปฏิบัติทางการแพทย์
ด้าน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการต้องสั่งปิดสถานศึกษาเพิ่มเป็น 1,168 แห่ง เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ขณะเดียวกัน โรงเรียนในพื้นที่ปลอดภัย จำนวน 102 แห่ง ได้ถูกจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายจะส่ง ศูนย์ Fix It Center ลงพื้นที่เพื่อช่วยซ่อมแซมอุปกรณ์การทำมาหากิน เครื่องจักรการเกษตร และครุภัณฑ์ในท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้เร็วที่สุด
สำหรับกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ได้ส่งทีมปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์ อนามัยสิ่งแวดล้อม ควบคุมโรค เยียวยาจิตใจ รวม 349 ทีม กระจายดูแลประชาชนในศูนย์พักพิงจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา 849 แห่ง และจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้โรงพยาบาลโคกสูง โรงพยาบาลตาพระยา โรงพยาบาลคลอดหาด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุกแห่ง ใน 4 อำเภอชายแดน ของจังหวัดสระแก้ว ประกาศปิด ผู้ป่วยฉุกเฉินให้ไปรับบริการที่โรงพยาบาลใกล้เคียง ส่วนโรงพยาบาลอรัญประเทศ โรงพยาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ จังหวัดสระแก้ว ปิดให้บริการแผนกผู้ป่วยนอกและแผนกผู้ป่วยใน รับเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต โรงพยาบาลบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ปิดให้บริการ ประชาชนอำเภอบ้านกรวดหรือพื้นที่ใกล้เคียงสามารถไปรับบริการได้ที่โรงพยาบาลประโคนชัย








