นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า “ขับเคลื่อนการค้าด้วยข้อมูล” ตามนโยบาย Data-Driven Policy ภายใต้กรอบ “Quick Big Win” มุ่งยกระดับการตัดสินใจเชิงนโยบายให้แม่นยำ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่มีผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกร ล่าสุด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัว “ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า” ระบบดังกล่าวได้นำเทคโนโลยีดาวเทียมและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้พยากรณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้า เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดอาวุธสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ให้สามารถวางแผนรับมือและบริหารจัดการเชิงรุกผลผลิตข้าวนาปีที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงปลายปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางศุภจี เปิดเผยว่า นโยบาย “Quick Big Win” ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานขับเคลื่อนการทำงานด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Data-Driven Policy) เพื่อให้การตัดสินใจเชิงนโยบายมีความแม่นยำ โปร่งใส และสามารถติดตามประเมินผลได้จริง โดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ ซึ่งกำลังจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงเดือนธันวาคม การมีข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลาจึงเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ระบบคาดการณ์นี้จะช่วยให้พาณิชย์จังหวัดทำงานได้ตรงจุด สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยระบบดังกล่าวได้บูรณาการเทคโนโลยีดาวเทียม และ Big Data เพื่อประมวลผลและคาดการณ์ข้อมูลจาก 5 แหล่งสำคัญ ได้แก่ (1) ภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA เพื่อระบุพื้นที่และช่วงเวลาเก็บเกี่ยว (2) ข้อมูลผลผลิตต่อไร่ จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อคำนวณปริมาณผลผลิต (3) ข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร จากกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อระบุชนิดพันธุ์ข้าว (4) ข้อมูลกำลังการผลิตของโรงสีในพื้นที่ จากกรมการค้าภายใน และ (5) ข้อมูลราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ในแต่ละพื้นที่ จากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เห็นภาพของทั้งสถานการณ์ด้านราคาและสัญญาณตลาดในระดับพื้นที่แบบทันที ซึ่งจะทำให้กระทรวงพาณิชย์สามารถคาดการณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้าในช่วง 2 – 8 สัปดาห์ โดยจำแนกรายละเอียดได้ถึงระดับจังหวัด อำเภอ และชนิดพันธุ์ข้าว ปิดความเสี่ยงของพื้นที่ที่มีผลผลิตออกมามาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคา ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลราคาจริงในพื้นที่ เพื่อใช้ประเมินแนวโน้มและออกมาตรการที่รองรับดึงราคาข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถทำงานเชิงรุกได้ โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมมาตรการรับมือได้ล่วงหน้าและรวดเร็ว เช่น การพิจารณาสินเชื่อชะลอการขาย การชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และการเร่งระบายข้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและรายได้ของเกษตรกรให้มั่นคงที่สุด ซึ่งล่าสุดราคาข้าวเปลือกในประเทศมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการข้าวไทยที่มีมากขึ้น โดยในรอบ 1 เดือนราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นจาก 14,100 บาทต่อตันเป็น 17,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าเพิ่มขึ้นจาก 6,800 บาทต่อตัน เป็น 7,800 บาทต่อตัน สะท้อนเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อรายได้ของเกษตรกรในช่วงฤดูกาลผลิตข้าวที่กำลังออกสู่ตลาด
ในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมต่อยอดพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดโลก ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานของคู่ค้าและคู่แข่งของไทย รวมทั้งศึกษาความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดสำคัญในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกสำหรับวางแผนเดินหน้ารุกตลาดและระบายผลผลิตของไทย การบริหารจัดการข้าวร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพทั่วประเทศนี้ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการบริหารจัดการข้าวไทยทั้งระบบในแต่ละพื้นที่มีความยั่งยืน ตั้งแต่ระดับเกษตรกรในหมู่บ้านจนถึงผู้ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงมีแผน “ขยายผลสู่พืชเศรษฐกิจสำคัญ” อีกอย่างน้อย 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย โดยจะบูรณาการข้อมูลพื้นที่ปลูก ผลผลิต ขีดความสามารถของโรงงานแปรรูป และข้อมูลราคาทั้งในและต่างประเทศ อย่างครบวงจร เพื่อยกระดับการบริหารจัดการสินค้าเกษตรไทยทั้งระบบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกบนฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน ทันสมัย และรองรับการตัดสินใจเชิงนโยบายในทุกระดับอย่างแท้จริง
อีกทั้ง กระทรวงพาณิชย์ ยังเดินหน้าการเป็น “Food Security Hub” ศูนย์กลางอาหารฮาลาลโลก โดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับ H.E. Yousef Hassan Khalawi (ยูซุฟ ฮัสซัน คาลาวี่) เลขาธิการหอการค้ามุสลิมโลกเพื่อการค้าและการพัฒนา (Islamic Chamber of Commerce and Development: ICCD) เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรมฮาลาลระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) นางศุภจี เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีที่ได้พบกับเลขาธิการ ICCD และยืนยันว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศมุสลิมกว่า 57 ประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญ แหล่งพลังงานหลัก และเป็นจุดยุทธศาสตร์เชื่อมโยงห่วงโซ่การค้าโลก ทั้งนี้ ไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารรายสำคัญของโลก พร้อมทำหน้าที่เป็น “Food Security Hub” ให้แก่ประเทศ OIC ด้วยศักยภาพการผลิตอาหารฮาลาลคุณภาพสูง
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาลมากกว่า 200,000 รายการ โดยคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (CICOT) ขณะที่การส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไทยไปยังประเทศสมาชิก OIC ช่วงเดือนมกราคม–ตุลาคม 2568 มีมูลค่ารวมกว่า 4,872 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางตลาดอาหารฮาลาลโลกที่มีมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำนวนประชากรมุสลิมทั่วโลกกว่า 2,000 ล้านคน ซึ่งยังมีโอกาสอีกมากสำหรับสินค้าฮาลาลไทย โดยสินค้าอาหารฮาลาลสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่ ข้าว น้ำตาล อาหารทะเลกระป๋อง ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ผลไม้สดและแปรรูป ข้าวสาลี เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปต่างๆ
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จัดงาน AI Awakening : A New Era for Thailand’s Digital Economy เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของ SMEs โดยนางศุภจี กล่าวถึงการจัดงานดังกล่าวว่า ถือเป็นความร่วมมือสำคัญระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและ Meta โดยได้รับเกียรติจาก Ms. Beth Ann Lim ผู้บริหารระดับภูมิภาคของ Meta (Director, APAC Public Policy Strategy) ร่วมถ่ายทอดแนวทางการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันผู้ประกอบการไทยให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งนี้ SMEs เป็นกำลังสำคัญของประเทศ คิดเป็นกว่า 35% ของ GDP และประมาณ 12% ของมูลค่าส่งออกของไทย
ปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การตลาดยุคใหม่จึงต้องอาศัยเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น “หากไม่มีเทคโนโลยี การปรับตัวในวันนี้จะยากมาก” พร้อมระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ ไม่เพียงสรรหาเวิร์กช็อปและองค์ความรู้ แต่ยังเชื่อมโยงเครือข่ายสนับสนุนรอบด้าน เช่น SME D Bank เพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงแหล่งทุน ความร่วมมือกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย depa เปิดให้ทดลองใช้แพลตฟอร์มนวัตกรรมฟรี เช่น ระบบบัญชีนวัตกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์จริง และการสนับสนุนจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อลงพื้นที่ช่วยเหลือใกล้ชิดยิ่งขึ้น ความร่วมมือกับ Meta จะช่วยขับเคลื่อนแนวคิด Smart Commerce ซึ่งไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ของระบบการค้าไทย ที่จะเชื่อมนวัตกรรม การรวมกลุ่มธุรกิจ และการขยายตลาดไทยสู่ระดับสากล พร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้ SMEs และ Micro SMEs เข้าถึงตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยกิจกรรมภายในงาน ผู้ประกอบการกว่า 200 ราย ได้รับการพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างเข้มข้น ทั้งเวิร์กช็อปและการอัปเดตเทรนด์ AI โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งนางศุภจี ย้ำว่า เราต้องการเสริมความแข็งแกร่ง SMEs ให้ยืนได้อย่างแข็งแรง ทำให้มีส่วนช่วยเศรษฐกิจไทยมากกว่าเดิม ไม่ยึดติดรูปแบบเดิมๆ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ ขอให้ SMEs ไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 0 2547 5959 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th








