จากกรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โพสต์ผ่าน Truth Social ระบุว่า เหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นอุบัติเหตุข้างทาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โพสต์ข้อความ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าไม่ใช่อุบัติเหตุข้างทางแน่นอน ประเทศไทยจะยังคงดําเนินการทางทหารต่อไปจนกว่าเราจะไม่มีอันตรายและคุกคามต่อแผ่นดินและผู้คนของเราอีกต่อไป อยากทําให้มันชัดเจน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความระบุว่าไทยและกัมพูชาตกลงหยุดยิงว่าในการพูดคุยดังกล่าวไม่ได้มีการหารือ หรือมีข้อตกลงใด ๆ เรื่องการหยุดยิง เป็นเพียงการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคืบหน้าของสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาเท่านั้น ยืนยันว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องโต้เถียง เพียงดำเนินการตามที่เห็นว่าเหมาะสมกับสถานการณ์
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ จ่าสิบเอก ศตวรรษ สุจริต ทหารผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย – กัมพูชา ที่วัดพรหมพิทักษ์วนาราม จังหวัดร้อยเอ็ด ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับศพกำลังพลที่เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานน้ำหลวง และพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษด้วย โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสียและการเสียสละเพื่อแผ่นดินไทยของจ่าสิบเอก ศตวรรษ โดยพลเอก ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ได้เป็นผู้แทนมอบธง มอบโล่ห์ยุทธการฯ มอบใบประกาศเกียรติคุณฯ มอบเงินช่วยเหลือฯ และมอบเงินสินไหมทดแทน ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต
หลังจากเดินทางกลับ นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยยืนยันว่าการหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีการพูดคุยเรื่องการหยุดยิง และต้องย้ำอีกครั้งว่าขอให้ได้รับฟังข้อมูลของสื่อต่าง ๆ ที่ทางกองทัพได้จัดแถลงวันละ 2 ครั้ง แหล่งข่าวจากที่อื่นไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างอิงใด ๆ ก่อนหน้านี้ได้คุยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ มาตลอดไม่มีครั้งไหนที่บอกว่าจะต้องทำข้อตกลงหยุดยิง การดำเนินการใด ๆ ดำเนินการตามแผนการที่วางไว้การตอบรับว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องมีการหารือมีการพูดคุยและต้องมีท่าทีที่จริงใจ ชัดเจนว่าต้องการจะหยุดการปะทะ หยุดการทำร้ายซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตามย้ำอีกครั้งว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายที่ถูกรุกรานคุกคามอธิปไตย ที่เราตอบโต้ไปเพื่อป้องกันอธิปไตยป้องกันประชาชน ทำให้เขาเห็นว่าอย่าได้เข้ามาทำร้ายประเทศไทย เพราะฉะนั้นในขณะที่เรากำลังแสดงท่าทีว่าเรากำลังปกป้องอธิปไตยของเราคงไม่มีใครสามารถมาบอกเราได้ว่า 22.00 น. ต่างคนต่างถอยไปแล้วก็หยุดยิงกัน เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะหยุดยิงกันกัมพูชาต้องเสนอข้อดำเนินการมายังประเทศไทยไม่ใช่ให้ผู้นำประเทศอื่นมาพูด เรามีเรื่องกันอยู่ถ้าจะดำเนินการใดๆ ที่จะหยุดข้อพิพาทกัน ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งก็เสนอมา อย่างการเริ่มยิงตั้งแต่เช้าวันนี้ และเป้าหมายไม่ใช่ทางทหาร แต่มาถูกคนไทย ถูกชุมชนทำให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นการกระทำชัดเจน พูดอะไรก็พูดได้ถ้าหยุดยิงก็ต้องหยุดยิงให้เห็น หยุดยิงแล้วต้องถอน ความพร้อมในการหยุดยิงด้วยไม่ใช่หยุดยิงแต่ปืนยังเล็งมาที่ไทยอยู่พร้อมยิงก็ไม่ได้ ถ้าหยุดยิงก็ต้องหยุดความพร้อมทุกอย่าง ถอยกลับไป แล้วคนที่จะประเมินคือประเทศไทย จึงเป็นวิธีการที่ถูกต้องไม่ใช่ใช้การพูดคุยกันอย่างใน facebook หรือ social media นอกจากนี้ กรณีคนไทยที่ยังติดค้างอยู่ที่ปอยเปต กัมพูชา เป็นอีกประเด็นหนึ่ง คนไทยย่อมมีสิทธิ์ที่จะกลับบ้านได้ตลอดเวลา หวังว่าน่าจะไม่ถึงจุดที่จะนำประชาชนมาเป็นตัวประกันเพราะเขา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย ทั้งนี้เรามีแผนเผชิญเหตุทุกเหตุอยู่แล้ว
พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งหยุดยิง จากรัฐบาลมายังกองทัพแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่าจะยังไม่มีการหยุดยิงจนกว่ากัมพูชาจะสิ้นความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน
พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันท่าทีไทย คือ 1. ไทยไม่ใช่ผู้เริ่มต้นเหตุความขัดแย้ง เราเพียงใช้สิทธิ ตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง หลังถูกโจมตีก่อน 2. ยึดหลักกติกาสากลในการปฏิบัติ ปฏิบัติการภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ อย่างเคร่งครัดและได้สัดส่วน 3. หลีกเลี่ยงการโจมตีที่กระทบพลเรือน ยืนยัน ไม่โจมตีบ้านเรือนหรือโรงเรียน เป้าหมายคือฐานทางทหารที่คุกคามไทยเท่านั้น 4. ตอบโต้เฉพาะจุดที่เป็นภัยคุกคาม เพื่อลดขีดความสามารถฝ่ายตรงข้ามอย่างมีประสิทธิภาพ 5. ให้ความสำคัญสูงสุดกับการอพยพและความปลอดภัยของประชาชน ไม่ควรใช้ชุมชนเป็นฐานที่ตั้งทางทหาร 6. ยึดหลักมนุษยธรรม ให้ความสำคัญกับชีวิตพลเรือน เป็นอันดับแรก และหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงเสมอ 7. มุ่งสู่สันติภาพอย่างยั่งยืนพร้อมยุติความขัดแย้ง ตั้งอยู่บนพื้นที่ฐานของความจริงและการเคารพอธิปไตยของไทย
กองทัพบก ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือน บริเวณด้านหน้าบังเกอร์หลบภัย หมู่ที่ 1 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนซึ่งได้ยินเสียงแจ้งเตือนและกำลังวิ่งเข้าหลบภัยในบังเกอร์หลบภัย ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด รวม 4 ราย โดยมีอาการสาหัส 2 ราย ซึ่งกองทัพบกได้บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุขในพื้นที่ นำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย ได้นำส่งโรงพยาบาลศรีรัตนะ กองทัพบก ขอประณามการกระทำของกำลังทหารกัมพูชาอย่างรุนแรง ต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์
ขณะที่ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ผ่าน Truth Social หลังจากได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรี และ และสมเด็จฯ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยระบุว่าไทยกับกัมพูชาตกลงหยุดยิงแล้ว นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริงและสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายสหรัฐอเมริกา ยังไม่เข้าใจสถานการณ์หรืออาจได้รับข้อมูลที่คาดเคลื่อน นอกจากนี้ไทยรู้สึกผิดหวัง เนื่องจากยังมีข้อความที่ระบุว่า เหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งไม่เป็นความเป็นจริงอีกเช่นกัน เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ฝ่ายกัมพูชาวางระเบิดใหม่ รวมถึงเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงจรวด BM-21 ไปยังพื้นที่พลเรือนที่จังหวัดศรีสะเกษก็ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นความจงใจ ฉะนั้นจะบอกว่าฝ่ายไทยตอบโต้เกินกว่าเหตุไม่ได้ และในฐานะที่ไทยกับสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนานรู้สึกผิดหวัง ที่ข้อความดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนไทย
ส่วนกรณีที่ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เสนอให้รัฐบาลกัมพูชาพิจารณาระงับการเดินทาง ข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชาชั่วคราว จนกว่าจะมีการตกลงหยุดยิง เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนนั้น เป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างชัดเจน เนื่องจากขณะนี้ยังมีคนไทยจำนวน 6,000 – 7,000 คน ติดค้างอยู่ที่บริเวณด่านปอยเปตกัมพูชา และต้องการจะเดินทางกลับเข้ามายังฝั่งไทย เนื่องจากไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัย ขณะที่ประเทศไทยได้อนุญาตให้ชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศแล้ว โดยเดิมทีไทยและกัมพูชาจะมีการเจรจาและตกลงกันว่าจะมีการเปิดด่านชั่วคราว แต่ฝ่ายกัมพูชาขอเลื่อนการเปิดด่านออกไปก่อน โดยไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจน
พลเรือตรี สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า ปัจจุบันกองทัพไทยสามารถยึดครองพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ บริเวณเนิน 500 และฐานห้วยบอน ได้ 100% ขณะที่พื้นที่ช่องอานม้า สามารถควบคุมพื้นที่ได้ประมาณ 75% และยังคงดำเนินกลยุทธ์ทางทหารอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความพยายามของฝ่ายกัมพูชาในการตอบโต้และยึดคืนพื้นที่ สำหรับสถานการณ์กำลังพล ปัจจุบันมีทหารเสียชีวิตจากการปะทะเพิ่มเติม 4 นาย ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากการปะทะทั้งหมดอยู่ที่ 14 นาย และเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อีก 1 นาย รวมเป็น 15 นาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 270 นาย ส่วนใหญ่เป็นอาการเล็กน้อย
พันเอกหญิง นุชระวี แจ่มจำรัส รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ฝ่ายไทยตรวจพบสมุดบันทึกทางทหารของกัมพูชา ซึ่งระบุพื้นที่วางทุ่นระเบิดและระเบิดแสวงเครื่อง ขณะนี้ได้รวบรวมหลักฐานส่งตรวจสอบแล้ว และเตรียมชี้แจงต่อประชาคมโลกถึงเจตนารุกรานอธิปไตยไทยโดยฝ่ายกัมพูชา
นาวาเอก นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ได้ตรึงกำลังตามแนวชายแดนทางทะเลในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ทั้งทางบกและทางเรือ หลังตรวจพบภัยคุกคามจากการระดมกำลังของฝ่ายกัมพูชาบริเวณเกาะกงและเกาะยอ รวมถึงเปิดปฏิบัติการ “ยุทธการประจวบคีรีขันธ์-ประจันตคีรีเขตร” เพื่อปกป้องความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหมวดเรือเฉพาะกิจพิทักษ์อ่าวไทย มีภารกิจค้นหาและทำลายที่ตั้งทางทหารและกำลังทางเรือของฝ่ายกัมพูชา รวมถึงลดทอนและจำกัดศักยภาพในการลำเลียงยุทธปัจจัยเข้าสู่กัมพูชา ยืนยันว่าการปฏิบัติการทั้งหมดมุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหาร เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นสำคัญ
พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ขอให้ประชาชนมั่นใจขีดความสามารถของกองทัพไทย ยืนยันว่าจะไม่หยุดปฏิบัติภารกิจจนกว่ากัมพูชาจะยุติการกระทำใด ๆ ที่เป็นภัยต่อประเทศไทย
พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ตำรวจตระเวนชายแดนและชุดปฏิบัติการพิเศษได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้า มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 24 นาย ขณะเดียวกันได้ดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนหลัง ศูนย์พักพิง และอำนวยความสะดวกด้านการแพทย์ การตั้งจุดตรวจ จุดสกัดตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการสืบสวนด้านความมั่นคง เพื่อป้องกันการก่อวินาศกรรม นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมในการรับคนไทยจากฝั่งกัมพูชากลับประเทศ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคัดกรองเหยื่อและผู้กระทำความผิด ที่เกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติตามหลักสากล
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงกรณีการประธานาธิบดีสหรัฐ โพสต์ข้อความระบุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเป็นเพียงอุบัติเหตุ ซึ่งยืนยันว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งนายกรัฐมนนตรีได้ชี้แจงระหว่างการหารือแล้วว่า เรื่องของกับระเบิดที่ทหารไทยประสบเหตุมีถึง 7 ลูก ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเดียว และในการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ และชัดเจนว่ามีเจตนารมณ์ที่ผิดอนุสัญญาออตตาวา ส่วนที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เสนอให้มีการตรวจสอบการปะทะว่าเกิดจากฝ่ายใดนั้น ไทยยืนยันแล้วว่าไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม จึงยินดีที่ให้มีการตรวจสอบและหากจะตรวจสอบขอให้ตรวจสอบเรื่องการวางทุ่นระเบิดด้วย และการที่กัมพูชาระงับการเดินทางของคนไทย ออกจากกัมพูชาเป็นการสะท้อนถึงการขาดความเข้าใจและเคารพในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศ เตรียมเร่งเจรจาต่อไป โดยสถานทูตขอให้ผู้ต้องการเดินทางออกทันทีเดินทางไปยังท่าอากาศยานเสียมราฐ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศพร้อมสนับสนุนและประสานงานให้
ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีภารกิจดูแล ทั้งสุขภาพกายและจิตใจของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน ปัจจุบันมีพลเรือนเสียชีวิต 7 ราย จากผลกระทบการโจมตีของกัมพูชา โดยกระทรวงสาธารณสุขจะดูแลความปลอดภัยของประชาชนในศูนย์พักพิงอย่างเต็มที่ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีม MCATT 98 ทีม ดูแลสุขภาพจิตประชาชนทุกศูนย์พักพิง เฝ้าระวังผู้มีความเครียดสูง-เสี่ยงทำร้ายตัวเอง และเฝ้าระวังควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
นอกจากนี้ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่พบปะและให้กำลังใจกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงที่พักอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ในพื้นที่อำเภอ เดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี โดยนายอัคราได้ให้ข้อแนะนำในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือด้านสังคม การเยียวยา และการดูแลคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ ตรวจเยี่ยมศูนย์พักพิง มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะชายแดนไทย – กัมพูชา โดย ปภ.ได้ส่งรถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย รถกู้ภัย รถตรวจการณ์ และรถไฟฟ้าส่องสว่าง เพื่ออพยพประชาชนออกจากพื้นที่ ดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง ส่งรถประกอบอาหารและรถผลิตน้ำดื่มมาประจำในพื้นที่ศูนย์พักพิง เพื่อผลิตอาหารและน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายให้กับประชาชนผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้กระทรวงการคลัง ได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ราชการจังหวัดเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศให้แก่ 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพิ่มเติมจังหวัดละ 100 ล้านบาทแล้ว เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสามารถบริหารจัดการและดูแล
พี่น้องประชาชนผู้อพยพได้อย่างเต็มที่








