กองทัพบก ชี้พฤติการณ์กัมพูชากักกันคนไทยที่ด่านปอยเปต อาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม กต. พร้อมอำนวยความสะดวกคนไทยเดินทางกลับประเทศทางอากาศ

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 11.50 น. ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่หมู่ 4 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีเหตุลูกระเบิดกระสุน BM-21 ระดมยิงลงพื้นที่บ้านหนองเม็ก ม.4 ต.เสาธงชัย มีผู้เสียชีวิต 1 คน คาดว่าถูกสะเก็ดระเบิด บริเวณหน้าโรงพยาบาลหนองเม็ก พร้อมกันนี้เหตุการณ์เดียวกันได้เกิด ไฟไหม้จากเหตุลูกระเบิด BM-21 จำนวน 1 หลัง เสียหายทั้งหลัง และยังมีบ้านเรือนอีกหลายหลังถูกสะเก็ดระเบิด แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเนื่องจากอพยพ ออกนอกพื้นที่ รัฐบาลขอประณามต่อการกระทำอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของฝ่ายกัมพูชา จากการใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือนในเขตแดนไทย ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต และสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชน ก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ขอยืนยันว่า พลเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารใด ๆ และการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือนเช่นนี้
ไม่อาจยอมรับได้ภายใต้หลักสากล และนี่เป็นความจงใจ ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ทางกัมพูชา มักจะอ้างอย่างแน่นอน

ด้านกองทัพบก ประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชาต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ที่ยังคงใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารเป็นวันที่ 2 เป็นเหตุให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดถึงเจตนาของฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างร้ายแรง

จากสถานการณ์ดังกล่าว จ่าเอก สมควร สิงห์คำ นายอำเภอกันทรลักษ์ ได้ออกประกาศอำเภอกันทรลักษ์ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย พักอาศัยในศูนย์อพยพ ศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือสถานที่ปลอดภัย จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยระบุว่า ตามที่ได้มีการปะทะกันระหว่างกองกำลังไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ โดยสถานการณ์ได้ยกระดับความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เกิดการปะทะกันบริเวณชายแดนในหลายพื้นที่ ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะยืดเยื้อ และขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จึงให้ประชาชนในพื้นที่ตำบลเสาธงชัย ละลาย รุง ชำ ภูผาหมอก บึงมะลู และโนนสำราญ (ยกเว้นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง) ให้อพยพไปยังสถานที่ศูนย์อพยพ ศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือสถานที่ปลอดภัยอื่น ซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่ตำบลดังกล่าวข้างต้น หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งต้องระวางโทษตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ยังไม่มีความปลอดภัยอำเภอกันทรลักษ์ จึงขอให้ประชาชนที่อพยพในสถานที่ต่าง ๆ ห้ามไม่ให้เดินทางกลับภูมิลำเนา โดยขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยพักอาศัยอยู่ใน          ศูนย์พักพิงชั่วคราว มีผลตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายหรือสิ้นสุด

สำหรับประเด็นเรื่องการหยุดยิง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ส่งข้อความมาชี้แจง โดยยืนยันว่าไม่ได้กล่าวถึงการหยุดยิง มีเพียงการเสนอให้ยุติการยั่วยุตั้งแต่เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป และไม่ได้บอกว่าทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันแล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลไทยไม่มีแผนหรือข้อตกลงใด ๆ ที่จะหยุดยิงกับศัตรูของเราตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของเมื่อคืนวันที่ 13 ธันวาคม 2568 ประเทศไทยยืนหยัดอย่างมั่นคงในการรักษา ปกป้อง และพิทักษ์บูรณภาพของแผ่นดินและประชาชนของเราอย่างสุดกำลัง

ด้านพลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบก ยืนยันไม่มีแนวทางการหยุดยิง เนื่องจากปัจจุบันกัมพูชายังคงใช้อาวุธหนัก จรวด BM-21 เครื่องยิงลูกระเบิด และโดรนพลีชีพ โจมตีต่อกำลังทหารไทย ในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยอย่างร้ายแรง

โดย พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ติดตามสถานการณ์และมอบแนวทางการปฏิบัติเฉพาะส่วนอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันยืนยันว่ายังไม่ได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติการของหน่วยในพื้นที่การรบแต่อย่างใด โดยยังคงสั่งการให้หน่วยทหารที่รับผิดชอบตลอดแนวชายแดน เดินหน้าปฏิบัติการตามแผนที่กำหนด พร้อมบูรณาการร่วมกับเหล่าทัพ และหน่วยงานอื่นๆ ในการปฏิบัติอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันผู้บัญชาการทหารบกได้กำชับให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เน้นย้ำกำลังพลเรื่องการปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย ดำเนินกลยุทธ์ด้วยความรอบคอบ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลักคือการผลักดันและมุ่งทำลายขีดความสามารถทางการทหารของกัมพูชา ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงองค์ประกอบสนับสนุนอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมยืนยันว่ากองทัพบกไทยโจมตีต่อเป้าหมายทางทหารที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเพียงเท่านั้น และการสถาปนาพื้นที่ เข้าควบคุมบริเวณที่เคยมีการรุกล้ำเขตอธิปไตยไทย และเสริมความมั่นคงให้มีความสมบูรณ์ เอื้อต่อการปฏิบัติการทางทหารต่อไปในอนาคต

กองทัพบก ขอยืนยันในปฏิบัติการครั้งนี้ว่ายังคงดำเนินการต่อเนื่องจนกว่ากัมพูชาหยุดความเป็นปรปักษ์ โจมตีต่อกำลังทหารไทยและประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากำลังพลและยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก พร้อมตรึงกำลังการปฏิบัติ และตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดและเป็นไปตามหลักกติกาสากล เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช และดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนชาวไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ
นายเล หว่าย จุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในโอกาสเยือนไทย
โดยได้หารือถึงสถานการณ์ในภูมิภาค รวมถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชาในปัจจุบันว่า ทางเวียดนามรับทราบว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เขาเห็นการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี การคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งตนเองได้บอกไปว่าขึ้นอยู่กับฝ่ายกัมพูชาว่าแสดงความพร้อมเมื่อไหร่ เพราะยังพูดถึงการหยุดยิง แต่กลับยิง BM-21 ข้ามมาฝั่งไทย ถูกพลเรือนของเราเสียชีวิต และบาดเจ็บหลายคน ฉะนั้น ถ้าเราจะพูดเรื่องการหยุดยิง ต้องพูดกันด้วยความจริงใจ และเราอยากจะให้ฝ่ายสหรัฐอเมริกาที่อยากจะเห็นการหยุดจริง อยากเห็นสันติภาพกลับมา ต้องเข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริง เข้าใจความรู้สึกของคนไทย เข้าใจความรู้สึกของประเทศไทย ขอย้ำว่าถ้าพูดถึงเรื่องการหยุดยิงก็ต้องหยุดยิงทันที ไม่ใช่พูดถึงการหยุดยิงแล้วก็ยังยิงซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนท่าทีจากการตอบโต้ของฝ่ายไทย เป็นท่าทีที่ปกป้องผลประโยชน์และไม่ได้คิดว่าเราตั้งใจที่จะมีท่าทีที่แข็งกร้าวเกินความจำเป็น ซึ่งเราต้องปกป้องผลประโยชน์ของเราอย่างเต็มที่อยู่แล้ว

ส่วนที่จะมีการช่วยเหลือคนไทยเดินทางออกจากกัมพูชากลับมาวันละ 1,000 ที่นั่ง นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าออกทางชายแดนไม่ได้ ตามจุดผ่านแดนโดยเฉพาะที่ปอยเปต อาจจะต้องใช้วิธีการให้เดินทางกลับด้วยเครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งเรามีเที่ยวบินที่ไปเสียมราฐเข้าใจว่าวันละ 3 เที่ยวบิน จะทยอยพาคนไทยที่ประสงค์จะกลับประเทศไทยผ่านทางอากาศ

นางมารตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ใน 2 เรื่องคือการสูญเสียพลเรือนไทยจากการโจมตีของกัมพูชาที่ไม่มีเป้าหมายทำให้ได้รับผลกระทบร้ายแรง และกรณีการระงับการเดินทางของคนต่างชาติ รวมถึงคนไทย ทางบกที่ด่านปอยเปตซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่าประเทศไทยปฏิบัติตามหลักสากลให้การช่วยเหลือคนไทย โดยสถานทูตและกงสุลอำนวยความสะดวกการเดินทางอากาศจากเสียมราฐ รองรับกว่า 1,000 ที่นั่งต่อวัน

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า พฤติการณ์กัมพูชากักกันคนไทยที่ด่านปอยเปต อาจเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวพลเรือนโดยมิชอบ หรือมีลักษณะใกล้เคียงกับการจับตัวพลเรือนไปเป็นตัวประกัน อันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจในระดับนานาชาติว่าเป็นการกักกันตัวโดยผิดกฎหมาย และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางกลับประเทศภูมิลำเนาของตนเอง นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังอาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ได้แก่ อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยการคุ้มครองพลเรือน ในเวลาการรบหรือการสงคราม ลงวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1949 รวมถึงพิธีสารเพิ่มเติมของอนุสัญญาเจนีวา และพิธีสารที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ ค.ศ. 1977 ทั้งนี้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักกันตัวพลเรือนโดยมิชอบดังกล่าว อาจมีความผิดเข้าข่ายเป็นอาชญากรสงคราม ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ด้านการปฏิบัติการทางทหารทุกเหล่าทัพยังปฏิบัติการต่อเนื่อง โดยพลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองทัพเรือโดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดและหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ได้เปิดปฏิบัติการทางทหารเพื่อยึดคืนพื้นที่อธิปไตยของไทยบริเวณบ้าน 3 หลัง บ้านหนองรี ตำบลชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาอยู่ในเขตดินแดนของประเทศไทยมายาวนาน  การปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดโดยมีการปะทะกันอย่างหนักในพื้นที่ ภายใต้หลักการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากลและการรักษาอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ โดยกองทัพเรือสามารถควบคุมและยึดพื้นที่ดังกล่าวได้แล้ว และขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามออกจากพื้นที่ได้ทั้งหมดพร้อมทั้งได้ดำเนินการปักธงชาติไทย ในพื้นที่เพื่อแสดงถึงการยืนยันอธิปไตยของประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่บ้านหนองรีโดยรอบยังคงมีการปะทะกันเป็นระยะ จากการพยายามตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม กำลังของหน่วยนาวิกโยธินที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดำเนินการควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักความจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของพื้นที่

พลเรือตรี ปารัช ยังชี้แจงว่า กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด แจ้งว่าได้ออกประกาศกำหนดเวลาห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ในช่วงเวลา 19.00 – 05.00 น. ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ในพื้นที่ จังหวัดตราด ครอบคลุมอำเภอคลองใหญ่ บ่อไร่ แหลมงอบ เขาสมิง และเมืองตราด เว้น อ.เกาะช้าง และเกาะกูด ทั้งนี้ เป็นไปตามอำนาจแห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกพุทธศักราช 2457 เพื่อควบคุมสถานการณ์ด้านความมั่นคงเชิงป้องกันและสร้างความปลอดภัยในภาพรวม ไม่ได้มีเป้าหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยไม่จำเป็นและยืนยันว่าการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการอย่างเหมาะสม รอบคอบ และยึดหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน โดยคำนึงถึงการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ทั้งนี้กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนประชาชนสามารถขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในพื้นที่ได้ตามระเบียบที่กำหนดและขอความร่วมมือจากประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ นาวาเอก นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยผ่านศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยชี้แจงกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวสารเรื่องการปิดกั้นน่านน้ำและระงับการส่งออกน้ำมันเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการประกาศดังกล่าวออกมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นเพียงข้อเสนอของคณะผู้บัญชาการทางทหารเพื่อให้หารือในสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. ขอให้สภาความมั่นคงแห่งชาติมีมติระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้ายุทธปัจจัยสำคัญไปยังกัมพูชา 2. ให้หน่วยงาน ศรชล.บูรณาการกลไกควบคุมเฝ้าระวังเรือที่มีพฤติกรรมลําเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง ยุทธปัจจัยสําคัญไปยังกัมพูชา 3. ให้ ศรชล.ออกประกาศพื้นที่บริเวณทะเลอาณาเขตรอบท่าเรือกัมพูชาเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงภัยสูง เนื่องจากกองทัพกัมพูชามีการใช้อาวุธโดยไม่ระบุเป้าหมายยิงไม่มีทิศทางทําให้เรือที่สัญจรไปมาที่อยู่ในระยะการยิงมีความเสี่ยงสูง จึงให้ออกประกาศแจ้งเตือนและขอย้ำว่ายังไม่มีประกาศปิดน่านน้ำ

ขณะที่กองทัพเรือภาคที่ 1 ขอความร่วมมือสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงจังหวัดต่าง ๆ เจ้าของเรือประมง และไต๋เรือประมงงดออกเรือทำการประมงในพื้นที่ทางทะเลจังหวัดตราดเป็นการชั่วคราว ในพื้นที่บริเวณที่มีสถานการณ์ ดังต่อไปนี้ 1. บริเวณด้านทิศใต้ของเกาะช้าง 2. บริเวณรอบเกาะกูด 3. บริเวณตรงข้ามเกาะยอ 4. บริเวณอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ประกาศวันที่ 14 ธันวาคม 2568

พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ได้นำภาพภายหลังฝ่ายไทยเข้าควบคุมพื้นที่ปราสาทคนาได้ ซึ่งจากภาพแสดงให้เห็นถึงการขุดคูเลตของทหารกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว ยืนยันว่าปราสาทคนาอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายไทยเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ฝ่ายกัมพูชานำโบราณสถานไปใช้เป็นที่ตั้งทางทหาร ขัดต่อหลักสากลอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 2 ได้นำภาพหลักฐาน ที่แสดงให้เห็นว่าทหารกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดดักรถถังดัดแปลงแบบลูกปรายหวังเอาชีวิตทหารไทย โดยเป็นการดัดแปลงทุ่นระเบิดดักรถถังด้วยเหล็กตัดเพื่อเพิ่มความรุนแรง มุ่งสร้างความสูญเสียต่อทหารไทยขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ขณะที่กองทัพอากาศ ได้ประณามการกระทำดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาด้วย

นายชาคริต ปิตานุพงศ์ ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง กว่า 30 ล้านคนแล้ว เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซัน คริสต์มาส และเคาท์ดาวน์ปีใหม่ ทั้งนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเพียงเล็กน้อย
ซึ่งประเทศไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมาก

นอกจากนี้กองทัพภาคที่ 2 ยังได้แจ้งเตือนว่า ได้ปรากฏข่าวสารกัมพูชาจะใช้การยิงจรวด BM-21 ใส่พื้นที่เขตพลเรือนของไทย เพื่อให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย สร้างความหวาดกลัว และตื่นตระหนกในพื้นที่ชายแดน จึงขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้อพยพเข้าศูนย์พักพิงชั่วคราวของจังหวัดต่อไป และศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้ออกคำสั่งควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท รวมถึงยุทโธปกรณ์และสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี โดยให้งดการส่งออกเฉพาะสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ส่วนการดำเนินการอื่นให้เป็นไปตามระเบียบและเงื่อนไขเดิม ทั้งนี้มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 14 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และให้บังคับใช้ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง