นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเยี่ยมและให้กำลังใจพี่น้องประชาชนผู้อพยพที่พักอาศัยอยู่ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีผู้อพยพจากหลายพื้นที่ เข้ามาพักพิงรวมกว่าหมื่นคน โดยนายกรัฐมนตรีตั้งใจลงพื้นที่ในวันหยุดและมาอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนอย่างใกล้ชิด สร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ที่ต้องจากบ้านเรือนมาอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว นายกรัฐมนตรีได้ทักทาย พูดคุย รับฟังปัญหาและสอบถามความเป็นอยู่ของผู้อพยพด้วยความห่วงใย พร้อมทั้งลงมือทำผัดไทยด้วยตนเอง เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนภายในศูนย์พักพิง สร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้กับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ มีชาวบ้านหลายคนต่างเข้าไปจับมือ โอบกอด และร่วมส่งกำลังใจให้กับนายกรัฐมนตรี บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น และเป็นกันเอง
ด้าน นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนผู้ได้รับผลกระทบที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อติดตามสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ โดยนายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้สรุปผลการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการศูนย์พักพิง การดูแลความปลอดภัย การให้บริการด้านสาธารณสุข การบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลความเป็นอยู่ของผู้อพยพอย่างใกล้ชิด และได้พบปะพูดคุยกับประชาชนภายในศูนย์พักพิง พร้อมกล่าวชื่นชมและขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร และภาคีเครือข่าย ที่สละเวลาและทุ่มเทกำลังกายกำลังใจในการดูแลช่วยเหลือประชาชนในช่วงสถานการณ์ยากลำบาก พร้อมย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัย สุขอนามัย และคุณภาพชีวิตของผู้อพยพ เป็นอันดับแรก
นายโสภณ กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีความประสงค์ให้เกิดสงคราม แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศและประชาชน พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างดีที่สุด ทั้งในระหว่างการอพยพ การดูแลในศูนย์พักพิง และการเยียวยาหลังสถานการณ์คลี่คลาย เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว พร้อมได้มอบเงินสนับสนุนให้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานประจำศูนย์พักพิงชั่วคราว
ต่อมาได้ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เข้าเยี่ยมให้กำลังใจทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์สู้รบตามแนวชายแดน บริเวณปราสาทคนา ที่เข้ารักษาตัว ณ โรงพยาบาลปราสาท มอบถุงยังชีพจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้กับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อำเภอกาบเชิง และอำเภอพนมดงรัก อำเภอละ 200 ชุด โดยให้กำลังใจแก่กำลังพลทุกนาย พร้อมขอบคุณในความทุ่มเทการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่ในครั้งนี้ พร้อมฝากความห่วงใยและคำขอบคุณไปยังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งและเสียสละ
นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนกลุ่มเปราะบางและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว ในพื้นที่อำเภอวังหิน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อพบปะพูดคุยและให้กำลังใจกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งได้บูรณาการความร่วมมือดูแลอย่างรอบด้าน ทั้งด้านอาหาร เครื่องดื่ม การจัดกิจกรรมสันทนาการเพื่อลดความตึงเครียด โดยทีม พม.ใกล้คุณ รวมถึงการฝึกอาชีพ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ ลดภาระค่าใช้จ่าย และเตรียมความพร้อมให้ประชาชนสามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนคลี่คลาย
พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนผู้อพยพในศูนย์พักพิงชั่วคราวมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานวิทยาเขตสุรินทร์ โดยนำวงดุริยางค์มณฑลทหารบกที่ 25 มาเล่นดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศความผ่อนคลายให้แก่ผู้ประสบภัยจากการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้งมีตลกชื่อดัง นายเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา (หม่ำ จ๊กมก) และ นายเทพ โพธิ์งาม มาร่วมให้กำลังใจ และสร้างความบันเทิงให้กับน้อง ๆ นักเรียนและพี่น้องประชาชนให้ผ่อนคลาย
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมบูรณาการกำลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเน้นย้ำความสำคัญสูงสุดด้านความปลอดภัย การอพยพกลุ่มเปราะบาง และการอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมภายในศูนย์พักพิง กำชับให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานความคืบหน้าต่อเนื่อง พร้อมปรับแผนการเดินรถให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในพื้นที่วิกฤต ดังนี้
จังหวัดบุรีรัมย์: สั่งงดใช้ทางหลวงหมายเลข 224 (ช่วงบ้านกรวด–ละหานทราย–พนมดงรัก) หลังเกิดเหตุปะทะในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด ด้านสำนักงานขนส่งจังหวัดได้สนับสนุนรถจำนวน 10 คัน สำหรับอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบางไปยังสถานพยาบาลและศูนย์พักพิง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ช่วยอำนวยความสะดวกในศูนย์พักพิงชั่วคราว และงดการเดินรถในพื้นที่เสี่ยงตามข้อสั่งการของจังหวัด
จังหวัดสุรินทร์: ยังคงมีสถานการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ชายแดน ส่งผลให้มีผู้อพยพเข้าศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 80,000 คน ใน 145 แห่ง โดยสำนักงานขนส่งจังหวัดสุรินทร์ได้จัดเจ้าหน้าที่และยานพาหนะลงพื้นที่ดูแลศูนย์พักพิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนภารกิจของจังหวัดและกรมการขนส่งทางบก โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการดูแลความปลอดภัยและสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
จังหวัดตราด: สั่งปิดเส้นทางบางช่วงบนทางหลวงหมายเลข 3 (ตอนแม่น้ำตราด–หาดเล็ก) ชั่วคราว หลังมีรายงานลูกกระสุนตกบนผิวจราจร พร้อมทั้งอพยพเจ้าหน้าที่หมวดทางหลวงในพื้นที่เสี่ยง (แหลมกลัด ช้างทูน และด่านชุมพล) เข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยแล้ว
นายพิพัฒน์ ย้ำว่า กระทรวงคมนาคมจะยืนหยัดทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลความปลอดภัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
อีกทั้ง นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ประธานกรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดการปะทะกันอยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายฝ่ายโดยเฉพาะชาวต่างชาติ มีความวิตกกังวลว่าจะส่งผลกระทบกับการให้บริการด้านการบินและการเดินทางเข้าออกประเทศไทยทางอากาศยานหรือไม่ ขณะนี้สถานการณ์การบินในประเทศไทยเป็นไปอย่างปกติ มีความปลอดภัยและได้มาตรฐานสากล พร้อมรองรับเที่ยวบินจากนานาชาติอย่างเต็มศักยภาพ โดย บวท. มีความพร้อมในการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศ ทั้งด้านบุคลากร เทคโนโลยี และมาตรการความปลอดภัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสายการบินและผู้โดยสารทุกเที่ยวบิน โดยไม่มีผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชน โดยเฉพาะกรณีที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติได้รับความเสียหายจากการยิงจรวด และบิดาของเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด ได้มอบหมายให้นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สั่งการให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี)ดำเนินการตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง เพื่อรองรับและให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน หลังเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 ในพื้นที่บ้านเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย และบ้านพักเจ้าหน้าที่เสียหาย 1 หลัง
ทั้งนี้ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 ได้สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังอย่างต่อเนื่อง ทั้งการอพยพประชาชนเพิ่มเติมไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว การสนับสนุนสิ่งของอุปโภคบริโภคในศูนย์พักพิง 18 แห่ง การร่วมตรวจตราเฝ้าระวังรักษาความสงบเรียบร้อยใน 31 หมู่บ้าน การจัดเวรยามรักษาความปลอดภัยหน่วยงานในพื้นที่ 26 แห่ง รวมถึงการร่วมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยนายสุชาติ เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ดูแลความปลอดภัยและสวัสดิการของเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างใกล้ชิด พร้อมเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มกำลัง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย – กัมพูชา โดยภาพรวมสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด ปิดให้บริการ 12 แห่ง รพ.สต. ปิดบริการ 212 แห่ง มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัยเพิ่มขึ้นเป็น 703 ราย ส่วนการดูแลสุขภาพจิตพบเครียดสูงสะสม 996 ราย และเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 147 ราย ขณะนี้เปิดศูนย์พักพิงเพิ่มรวม 995 จุด มีผู้เข้าพักรวม 258,626 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 69,380 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็กเล็ก 0 – 5 ปี
เฝ้าระวังและควบคุมโรคในศูนย์พักพิง ทั้งโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร
โรคติดเชื้อนำโดยแมลง การจัดการขยะ สุขาภิบาลอาหารและน้ำ และอนามัยสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ได้เตรียมบุคลากรทีม SRRT(Surveillance and Rapid Response Team : สาธารณสุขเคลื่อนที่เร็ว) และ ทีม SEhRT (School Emergency Response Team: ตอบโต้เหตุฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในโรงเรียน) รวม 52 ทีม ลงพื้นที่วันที่ 15 ธันวาคม 2568 เพื่อสนับสนุนการดูแลศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ที่รองรับผู้พักพิงมากกว่า 1,000 คนขึ้นไป และจัดทำแนวทางดูแลผู้ป่วยล้างไตในศูนย์พักพิง ซึ่งมีจำนวนเกือบ 500 คน สถานการณ์ยังมีความเสี่ยงว่าจะรุนแรงมากขึ้น ทุกจังหวัดจึงได้เตรียมพร้อมแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ จัดเตรียมรถบัส/รถพยาบาล ประสานกองทัพเรือสนับสนุนเรือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางทะเล วางเส้นทางหลักและเส้นทางสำรองกรณีเส้นทางหลักใช้ไม่ได้หรือไม่ปลอดภัย กำหนดจุดพักรถระหว่างเดินทาง รวมถึงจัดหาสถานที่ตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติม ซึ่งหากเกิดสถานการณ์รุนแรงจริง มั่นใจว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกรายได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย








