ไทย ยืนยันใช้สิทธิป้องกันตนเองอย่างชอบธรรม ตามกติกา และกฎหมายระหว่างประเทศปศุสัตว์ พร้อมเยียวยาเกษตรกรที่สัตว์เลี้ยงตาย-สูญหาย ตามระเบียบกระทรวงการคลัง

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทหารกัมพูชายังคงระดมยิงโจมตีฝ่ายไทยอย่างเข้มข้นต่อเนื่องตลอดแนวชายแดน นายภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยมุมมองด้านวิชาการในการที่ไทยจะแสดงความชอบธรรมของการใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันตนเองในระดับรัฐ หรือระดับชาติ ว่า โดยหลักการแสดงความชอบธรรมประกอบด้วย 2 มิติ คือ ประเทศไทยใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งอาวุธและยุทธวิธี ซึ่งข้อเท็จจริงแม้กฎหมายของสหประชาชาติและกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ มีการห้ามใช้กำลังระหว่างประเทศซึ่งถือเป็นเสาหลักของกฎบัตรสหประชาชาติ แต่มีข้อยกเว้นคือสิทธิในการใช้กำลังในการป้องกันตนเอง ได้แก่ 1. การตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธของอีกฝ่ายเพื่อการระงับยับยั้งการโจมตีที่เกิดขึ้นหรือการโจมตีกระชั้นชิด 2. การใช้กำลังทหารต้องมีความจำเป็นไม่มีหนทางอื่นไม่มีมาตรการอื่นให้สามารถดำเนินการได้ 3. การใช้กำลังทหารต้องได้สัดส่วนเหมาะสมกับภัยคุกคามจากการโจมตี และ 4. มีการแจ้งไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ   

ส่วนการใช้อาวุธและยุทธวิธีในการปฏิบัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งมนุษยธรรมระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีหลักการพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง เช่น หลักความจำเป็นทางทหาร หลักมนุษยธรรม หลักแบ่งแยกระหว่างพลเรือนกับพลรบ ได้สัดส่วนในมิติที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายของพลเรือน ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามหลักการอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้ยื่นหนังสือต่อสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งหนังสือดังกล่าวอธิบายว่า ไทยจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีด้วยอาวุธของประเทศกัมพูชา เนื่องจากมีความรุนแรงและรวดเร็วเป็นการโจมตีแบบไม่แบ่งแยกระหว่างพลเรือนและพลรบ และขยายความความรุนแรงไปยังพื้นที่จังหวัดชายแดนโดยรอบ มีการใช้อาวุธหนัก ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยกระดับความรุนแรง รวมถึงการวางทุ่นระเบิดใหม่ในดินแดนของไทย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิ โดยชอบธรรมเป็นไปตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยมีวัตถุประสงค์ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน คุ้มครองรักษาความปลอดภัยของประชาชน และประเทศไทยใช้สิทธิป้องกันตนเองอย่างชอบธรรม ทั้งต่อกำลังทหารและพลเรือน แม้สถานการณ์ทวีความรุนแรง ไทยยังคงปฏิบัติตามกติกาและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด การตอบโต้เป็นไปอย่างจำกัดพื้นที่ ได้สัดส่วนกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น มุ่งเป้าหมายเพียงกำจัดภัยอันตรายจากกองกำลังของกัมพูชาเท่านั้น หลีกเลี่ยงความเสียหายต่อพลเรือน จึงประเมินว่าคำอธิบายในลักษณะนี้ สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่ได้โต้แย้งในเรื่องของข้อกฎหมาย 

พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยถึงการปฏิบัติการทางอากาศในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันว่าปฏิบัติการทางทหารของไทยดำเนินการบนพื้นฐานของการป้องกันตนเองมาตั้งแต่วันเริ่มต้น (8 ธันวาคม 2568) ทั้งการโจมตีเป้าหมายศูนย์บัญชาการทางทหาร การโจมตีเป้าหมายคลังสินค้าที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นคลังอาวุธ การโจมตีเป้าหมายที่ใช้ติดตั้งอาวุธที่เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของกำลังทหารและประชาชน ซึ่งล้วนเป็นสิทธิในการป้องกันตนเองของกองทัพไทย ยืนยันว่าไทยโจมตีเป้าหมายทางทหารบนพื้นฐานของมนุษยธรรม ป้องกันไม่ให้การโจมตีส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวกัมพูชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ หลักการดังกล่าวเป็นหลักปฏิบัติของกองทัพไทยมาโดยตลอด ซึ่งพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ มีการใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนชาวกัมพูชา

ด้านผลกระทบจากการปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พันตรีหญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าการที่กัมพูชาใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในไทย ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ครอบคลุมทุกจังหวัดพื้นที่ชายแดน ย้ำว่าการรบควรเป็นเรื่องระหว่างทหารกับทหาร ไม่ควรมีประชาชนของประเทศใดได้รับผลกระทบ และกองทัพบกขอประณามการกระทำของกัมพูชาที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และหลักกติกาสากลระหว่างประเทศ โดยกองทัพบกจะรวบรวมหลักฐานที่เกิดขึ้นทั้งหมด นำไปให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องขยายผลในเวทีนานาชาติต่อไป และขอให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามข่าวสารและประกาศจากหน่วยงานในพื้นที่อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย

พลเรือตรี จุมพล นาคบัว โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กล่าวถึงกรณีที่สภาความมั่นคงแห่งชาติมีมติให้ ศรชล. ดำเนินการกำกับดูแล ควบคุมน่านน้ำในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ได้ดำเนินการในเรื่องการส่งสินค้าและพลังงาน รวมทั้งการลักลอบส่งยุทธปัจจัยไปยังพื้นที่ขัดแย้งของกัมพูชา แบ่งการดำเนินการออกเป็น 4 ด้าน 1. การยกระดับเฝ้าระวังการเดินภัยทางทะเล โดยเฉพาะด้านการค้าการขนส่งน้ำมันและพลังงาน โดยจะยกระดับการเฝ้าระวังกลไกการขนถ่าย ทั้งทางบกสู่ทะเลและทางทะเลสู่บกอย่างเป็นระบบ 2. การบูรณาการหน่วยงานต่างๆ และกลไกที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลเรื่องน้ำมัน ในการส่งออกและยุทธภัณฑ์ โดยดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานทางทะเลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกลไกที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลท่าเรือ โดยจะเฝ้าระวังท่าเรือ 23 จังหวัดชายทะเล 3. การออกมาตรการห้ามเรือสัญชาติกัมพูชาเข้ามาในน่านน้ำภายในท่าเรือของไทยและตรวจสอบเรือที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย และ 4. การแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงภัย ทั้งนี้ ยืนยันดำเนินการตามอำนาจอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง และสอดคล้องกับอนุสัญญาประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล และเพื่อความปลอดภัยของผู้ดำเนินกิจกรรมทางทะเลป้องกันไม่ให้การดำเนินการทางทะเลมีส่วนสนับสนุน การดำเนินการของกัมพูชาหรือส่งผลกระทบต่อความไม่ปลอดภัยของประชาชนในภาพรวม พร้อมเตือนผู้ลักลอบนำน้ำมันเข้ากัมพูชาว่าจะเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายนำเข้าและส่งออก มีบทลงโทษตามกฎหมาย และขอให้เรือน้ำมันทั้งที่เป็นการเดินทางผ่านและที่เดินทางเข้า-ออกไทยและกัมพูชาให้ปฏิบัติตามกฎหมายการแสดงตนและมาตรการของการแจ้งการรายงานต่างๆ อย่างเคร่งครัด สำหรับการตรวจสอบเรือบรรทุกน้ำมัน-สินค้า 2 ลำ ของไทย ที่พบอยู่ใกล้กับพื้นที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา มีทั้งเรือที่เดินทางผ่านและเรือที่ดำเนินการตามสัญญาจ้างของต่างประเทศ ซึ่งได้เชิญเข้ามาชี้แจงแล้ว ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ทั้งนี้ปัจจุบันสถิติของผู้ที่ดำเนินการเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชามีแนวโน้มลดลง

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ระบุว่า ที่ผ่านมา ไทยดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สแกมเซ็นเตอร์มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การปรับลดสัญญาณ ปรับลดจำนวนเสาสัญญาณ แต่ต้องยอมรับว่า คลื่นความถี่เป็นเรื่องที่ควบคุมยาก เนื่องจากเขตแดนประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้เป็นเส้นตรง อาจทำให้สัญญาณล้ำเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการตรวจสอบ และจำกัดความแรง โดยเฉพาะจุดใดที่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเป็นจุดที่สแกมเมอร์ตั้งฐานหลอกลวงประชาชน ก็จะตัดสัญญาณทั้งหมดทันที

พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดน ในพื้นที่แนวหน้าไทย-กัมพูชา ว่า พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการ จัดคณะแพทย์เดินทางไปที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งยังมีกำลังพลตำรวจส่วนหนึ่งรักษาตัวอยู่เพื่อดูแลและให้การรักษากำลังพลทุกนายอย่างดีที่สุด นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้จัดหาอุปกรณ์ป้องกันตัวให้ตำรวจตระเวนชายแดนที่อยู่แนวหน้าเพื่อป้องกันตัวเองด้วย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยด้านความมั่นคงตามข้อมูลที่ประชาชนแจ้งเบาะแส ทั้งกรณีชาวต่างชาติและแรงงานต่างด้าวในหลายพื้นที่ โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงกับการจารกรรมหรือภัยต่อความมั่นคง

ด้านการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังในศูนย์พักพิงชั่วคราว นาย นฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า ศูนย์พักพิง ทั้ง 7 จังหวัด ขณะนี้มีจำนวน 1,124 แห่ง มีประชาชนมาอาศัยแล้วกว่า 4 แสนคน พร้อมเน้นย้ำให้เตรียมความพร้อมด้านอาหาร ที่พัก และน้ำดื่มตลอดเวลา และเสริมกิจกรรมนันทนาการ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน รวมทั้งมีทีมแพทย์เข้ามาดูแลด้านสุขภาพจิตของประชาชนในพื้นที่และขอให้ประชาชน รอสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ก่อนกลับเข้าไปยังบ้านเรือนเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณเงินทดรองราชการ วงเงินจังหวัดละ 100 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

นอกจากนี้ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และศรีสะเกษ (เขตสุขภาพที่ 10) เพื่อติดตามสถานการณ์ และร่วมวางแผนระบบการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกล่าวว่า สำคัญที่สุดขณะนี้คือ สภาพจิตใจของผู้อพยพ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้คัดกรองสุขภาพจิตของประชาชนในศูนย์พักพิงของทั้ง 2 จังหวัด รวม 76,311 คน พบว่ามีความเครียดสูง 536 คน  และเสี่ยงทำร้ายตนเอง 176 คน ในส่วนบุคลากรที่ปฏิบัติงาน คัดกรอง 1,688 คน พบมีความเครียดสูง 80 คน และเสี่ยงทำร้ายตนเอง 23 คน ซึ่งได้รับการปฐมพยาบาลทางใจแล้ว ได้กำชับให้ติดตามอย่างใกล้ชิดทุกราย และจัดรถ “Mobile เพื่อนใจ” สำหรับให้คำปรึกษา ประเมินความเครียดด้วยเครื่องมือ Biofeedback, VR และดูแลฟื้นฟูสุขภาพจิตประชาชนหรือที่ต้องการความช่วยเหลือ นอกจากนี้ ยังให้เน้นดูแลหญิงตั้งครรภ์ซึ่งเป็นหนึ่งกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ หากพบภาวะเสี่ยงจะส่งต่อโรงพยาบาลทันที เพื่อให้ทั้งแม่และทารกปลอดภัย

นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการดูแลสุขภาพอนามัยและสุขภาพจิตให้ประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขกว่า 5,000 คน ดูแลประชาชนภายในศูนย์พักพิงต่าง ๆ มีทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (Mental Crisis Assessment and Treatment Team – MCATT) กว่า 100 ทีม ดูแลสุขภาพจิตประชาชน จิตแพทย์ได้คัดกรองประชาชนผู้มีความเครียดกว่า 1 แสนราย พบว่ามีเพียงร้อยละ 1 ที่มีความเครียดสูง พร้อมแนะนำการดูแลสุขภาพจิตด้วยหลัก 3 ส. คือ สอดส่องมองหาผู้มีสัญญาณความเครียดเพื่อป้องกันการทำร้ายตนเอง ใส่ใจรับฟัง จากญาติพี่น้องและผู้ใกล้ชิด และส่งต่อเชื่อมโยง เพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่ให้ช่วยแก้ไขปัญหาและส่งต่อโรงพยาบาลใกล้เคียงต่อไป ทั้งนี้ได้จัดรถโมบายคลายเครียด หรือรถเพื่อนใจ ดูแลสุขภาพจิตประชาชนและบุคลากรการแพทย์ที่ศูนย์พักพิงในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และสระแก้ว มีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษากับผู้มีความเครียด รวมทั้งมีกิจกรรมช่วยผ่อนคลายความเครียด พร้อมกับมีระบบเทเลเมดิซีน และประชาชนสามารถติดต่อ                ขอคำปรึกษาที่สายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังจัดการดูแลบุคลากรที่ได้รับผลกระทบ โดยสถาบันพระบรมราชชนกมอบสิทธิพิเศษให้แก่ทายาทบุคลากรด่านหน้าทุกหน่วยงาน รวมถึงประชาชนที่เสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือได้รับบาดเจ็บจากกรณีชายแดนไทย – กัมพูชา ให้ได้รับการพิจารณาเข้าศึกษาในสถาบันพระบรมราชชนก โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนจบการศึกษาเป็นกรณีพิเศษ ใน 9 สาขา ภายใต้โครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพ (9 หมอ) รวมทั้งให้ทำงานที่ รพ.สต. ตามภูมิลำเนา โดยให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด สำรวจและส่งรายชื่อมายังกองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ภายในวันที่ 19 ธันวาคม 2568  

นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินเร่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งพักชำระเงินต้นและไม่คิดดอกเบี้ยนาน 3 เดือน และการจัดสรรงบประมาณเยียวยาแก่ครอบครัวพลเรือน และทหารที่เสียสละชีวิต โดยมาตรการพักชำระเงินต้นและไม่คิดดอกเบี้ยนาน 3 เดือน สามารถแจ้งความประสงค์ภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือศูนย์พักพิงของจังหวัด และแอปพลิเคชัน MyMo เมื่อครบกำหนดพักชำระให้กลับมาชำระเงินงวดต่อไปตามเงื่อนไขสัญญาเดิม ส่วนมาตรการสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษ ขอสินเชื่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ประกอบด้วย

สินเชื่อฉุกเฉิน วงเงินไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย ไม่ต้องใช้หลักประกัน ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
ใน 3 เดือนแรก อัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 4 เป็นต้นไป 0.60% ต่อเดือน

สินเชื่อฟื้นฟูรายย่อย วงเงินสูงสุด 300,000 บาทต่อราย โดยใช้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยใน 3 เดือนแรก อัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 4 เป็นต้นไป 15.00% ต่อปี

สินเชื่อฟื้นฟูบ้านสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติ วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาทต่อราย ปลอดชำระเงินต้น และดอกเบี้ยใน 3 เดือนแรก เดือนที่ 4 – 24 ดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี ปีที่ 3 = MRR – 3.350% ต่อปี และปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR – 0.750% ต่อปี ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยธนาคารสนับสนุนค่าประเมินหลักทรัพย์ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อราย ยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2569

สินเชื่อธุรกิจดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบภัยพิบัติในการฟื้นฟูกิจการ วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 40 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% ต่อปี 3 เดือนแรก และเดือนที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ต่อปี ยื่นขอสินเชื่อภายใน 30 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ธนาคารจะพิจารณาให้กู้ตามความสามารถในการชำระคืนและความจำเป็นของลูกหนี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th หรือ GSB Contact Center โทร. 1115

นอกจากการดูแลประชาชนแล้วสัตว์เลี้ยงของเกษตรกรในพื้นที่ยังได้รับการดูแลด้วย โดยนายสัตวแพทย์ สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์ได้สนับสนุนหญ้าอาหารสัตว์ จำนวน 119,400 ตัน และเสบียงหญ้าอาหารสัตว์ จำนวน 850,160 กิโลกรัม ซึ่งจะจัดสรรหญ้าอาหารสัตว์ อาหารข้นสำหรับโค กระบือ สัตว์เลี้ยง สุนัขและแมว ไปรวมที่ปศุสัตว์จังหวัดและจะกระจายไปยังพื้นที่เป้าหมายต่อไป ขอให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงมั่นใจว่าจะมีการจัดการอย่างเป็นระบบและทั่วถึงจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย นอกจากนี้จะชดเชยจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ปศุสัตว์ตาย หรือสูญหาย ตามหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2564 เช่น โค ตายหรือสูญหาย จะได้รับชดเชยตั้งแต่ 13,000 – 35,000 บาท แก่เกษตรกรรายละไม่เกิน 5 ตัว และกระบือ ตายหรือสูญหาย ชดเชยตั้งแต่ 15,000 – 39,000 บาท แก่เกษตรกรรายละไม่เกิน 5 ตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุสัตว์เลี้ยง และกรณีเกิดความสูญเสียมากกว่านี้ กรมปศุสัตว์จะรวบรวมข้อมูลเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างถึงที่สุดต่อไป ทั้งนี้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 02-653-4444 ต่อ 3315 หรือแอปพลิเคชัน DLD 4.0 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง