ไทย จับมือ UNODC ต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ สร้างหุ้นส่วนโลกปราบสแกมเมอร์

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเปิดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) ซึ่งเป็นการประชุมที่ประเทศไทยเป็น ผู้ริเริ่มและเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระหว่างวันที่ 17–18 ธันวาคม 2568 เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระดับโลกในการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (online scams) โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งในระดับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี เอกอัครราชทูตจากทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลอดจนผู้แทนจากสหภาพยุโรป องค์การระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ รวมทั้งสิ้นมากกว่า 300 คน จาก 60 ประเทศ

นายสีหศักดิ์ ย้ำว่า การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตพัฒนาเป็นอาชญากรรมข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานบังคับ และอาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบ อื่นๆ โดยไทยมีการดำเนินการเชิงรูปธรรม อาทิ การช่วยเหลือและส่งกลับเหยื่อ การยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และส่งเสริมการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศ   ซึ่งไทยเพิ่งร่วมลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งยังเน้นความจำเป็นของแนวทางการดำเนินงานเชิงรูปธรรมที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงปฏิบัติและบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อเสริมสร้างการบังคับใช้กฎหมายอย่างรอบด้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อรื้อถอนเครือข่ายอาชญากรรม

นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ขอบคุณรัฐบาลไทยและ UNODC ที่จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น เพราะออนไลน์สแกมเป็นอาชญากรรมที่มีเหยื่อทั่วโลก และยังมีการค้ามนุษย์ สหประชาชาติพร้อมเป็นหุ้นส่วนสำคัญในต่อต้านสแกมเมอร์

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสกล่าวในงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำสำหรับผู้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต พร้อมขอบคุณผู้เข้าร่วมการประชุมจากทุกภาคส่วน และยืนยันถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของรัฐบาลไทยในการต่อต้านการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต หรือ online scams โดยการเข้าร่วมของผู้แทนจากหลายภูมิภาคทั่วโลกในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า “อาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ไม่ใช่เพียงปัญหาในระดับภูมิภาคอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเผชิญร่วมกัน” และการรวมตัวกันของนานาประเทศในครั้งนี้ สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในการทำงานอย่างเป็นเอกภาพเพื่อรับมือกับภัยคุกคามดังกล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประสบการณ์จากการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและเอเปคที่ผ่านมา ซึ่งผู้นำหลายประเทศได้หยิบยกประเด็นปัญหาอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตขึ้นมาหารืออย่างต่อเนื่อง โดยเห็นพ้องกันว่า ไม่ว่าประเทศจะอยู่ในภูมิภาคใด หรือมีระดับการพัฒนาอย่างไร ประชาชนล้วนตกเป็นเป้าหมายของเครือข่ายอาชญากรรมที่อาศัยช่องว่างของระบบกฎหมายในการแสวงหาประโยชน์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งต่อมนุษย์และระบบเศรษฐกิจโลก ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางร่วมกันของประชาคมโลก ซึ่งไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขได้เพียงลำพัง จึงจำเป็นต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็งและความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอย่างจริงจังของรัฐบาล โดยกำหนดให้เป็นวาระสำคัญสูงสุดของรัฐบาลและเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก อาทิ การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบังคับใช้กฎหมาย การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางและศูนย์ต่อต้านการหลอกลวงโดยเฉพาะ รวมถึงการยกระดับการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในประเทศ เพื่อขจัดเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ดำเนินการอยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย

บทเรียนสำคัญจากการหารือในที่ประชุมครั้งนี้คือ การดำเนินการในระดับชาติที่เข้มแข็งจำเป็นต้องควบคู่ไปกับความร่วมมือในระดับนานาชาติ เนื่องจากเครือข่ายอาชญากรสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามพรมแดน เคลื่อนย้ายเงินได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที และปรับตัวได้เร็วกว่าระบบในประเทศ ดังนั้น การตอบสนองของประชาคมโลกจึงจำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิด มีความชาญฉลาด และมีความมุ่งมั่นในระดับเดียวกันถึงเวลาแล้ว ที่ประชาคมโลกจะต้องยกระดับการหารือไปสู่การลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนข่าวกรองและข้อมูล การยกระดับการบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดน และการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต พร้อมระบุว่า การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และ “แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ (Bangkok Joint Statement)” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือ ซึ่งได้กำหนดแนวทางความร่วมมือภายใต้หลัก “5P” ได้แก่ Policy (นโยบาย) Protection (การป้องกัน) Prosecution (การบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด) Partnership (ความร่วมมือระหว่างประเทศ) และ Prevention (การป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรม)

อาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตเติบโตขึ้นได้จากการขาดความร่วมมือที่เป็นเอกภาพ แต่จะอ่อนแรงลงเมื่อทุกประเทศรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว โดยประเทศไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกประเทศและทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนการหารือในครั้งนี้ให้กลายเป็นความร่วมมือที่ยั่งยืน และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในระดับโลก

สำหรับการดำเนินงานภายในประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กระทรวงยุติธรรม และฝ่ายปกครอง ได้บูรณาการความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้สามารถยึดและอายัดทรัพย์ผู้กระทำผิดจำนวนมาก และดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการทำงานอย่างจริงจังต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบกระแสสังคม เนื่องจากอาชญากรรมออนไลน์มีความเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ ยาเสพติด การพนัน และการค้าอาวุธเถื่อน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์เป็นหนึ่งในสี่ประเด็นหลักของปฏิญญาร่วมที่ไทยและกัมพูชาลงนามร่วมกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งรวมถึงการถอนกำลังและอาวุธออกจากพื้นที่ชายแดน การดำเนินการด้านมนุษยธรรม และการทำลายเครือข่ายสแกมเมอร์ โดยยืนยันว่า หากมีสถานที่ใดที่ใช้เป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์ แม้จะอ้างว่าเป็นธุรกิจอื่น ไทยจะถือเป็นเป้าหมายในการดำเนินการและจัดการทันที

(18 ธ.ค. 68) นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และนางสาวเดลฟีน ช้านท์ซ ผู้แทนสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ร่วมกล่าวปิดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต และร่วมประกาศแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ (Bangkok Joint Statement) สำหรับแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ โดยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต 2025 มีสาระสำคัญ ที่ได้รับสนับสนุนจากสมาชิกหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย (ประเทศไทย บังกลาเทศ เนปาล เปรู และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งภาคเอกชน ได้แก่ TikTok)

ที่ประชุมรับทราบด้วยความห่วงกังวล เกี่ยวกับการแพร่ขยายอย่างรวดเร็วของปฏิบัติการโดยศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิดและก่ออาชญากรรมข้ามชาติในหลายรูปแบบ โดยรวมถึงอาชญากรรมไซเบอร์ การหลอกลวงทางการเงิน การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และการทุจริต คอร์รัปชัน การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อบุคคล ภาคธุรกิจ และรัฐบาลทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นความท้าทายข้ามชาติต่อความมั่นคง สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งบั่นทอนสิทธิมนุษยชน ความมั่นคงแห่งชาติ ความก้าวหน้าในการพัฒนาที่ยั่งยืน และความไว้วางใจของสาธารณชน ที่ประชุมตระหนักว่า การทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อปฏิบัติการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตและอาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กรที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมมาตรการเสริมสร้างความซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือ และความรับผิดชอบ โดยสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต

สมาชิกที่ร่วมประชุม ยืนยันหลักการบทบัญญัติอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร รวมทั้งพิธีสารว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก และพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบนำคนเข้าเมืองทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งเป็นพิธีสารเพิ่มเติมของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และยินดีต่อการลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2025 ณ กรุงฮานอย

(พิธีสาร คือ ข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีความสำคัญรองจากสนธิสัญญาและอนุสัญญา แก้ไข เพิ่มเติม หรือกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น) 

นอกจากนี้ยังมีข้อมติที่เกี่ยวข้องที่ได้รับการรับรองโดยสมัชชาสหประชาชาติ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาของสหประชาชาติ ซึ่งตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลต่อสิทธิมนุษยชน และการที่กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการค้ามนุษย์และแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากผู้เสียหาย โดยการบังคับให้กระทำการฉ้อโกงและหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ผู้เสียหายต้องตกอยู่ในสภาวะการถูกบังคับให้กระทำอาชญากรรมผิดกฎหมาย การเป็นแรงงานขัดหนี้ และการปฏิบัติที่เป็นการละเมิดในรูปแบบต่างๆ ที่ประชุม ได้ย้ำถึง ความเร่งด่วนและความจำเป็นที่รัฐต่าง ๆ รวมถึงประเทศต้นทางและประเทศทางผ่านของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับให้กระทำอาชญากรรมผิดกฎหมายในศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ตลอดจนประเทศที่เป็นที่ตั้งของศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และประเทศที่มีประชาชนถูกหลอกฉ้อโกง ที่จะต้องให้ความร่วมมือทั้ง ภายในประเทศและข้ามพรมแดนเพื่อปราบปรามการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตและอาชญากรรมข้ามชาติ

ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงผลสำเร็จของการประชุมครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนานาประเทศเกินกว่าที่คาดหมาย สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักร่วมกันของประชาคมโลกต่อความรุนแรงและความซับซ้อนของอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามข้ามชาติที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง

ในการประชุมวันที่ 17–18 ธันวาคม 2568 ที่ประชุมฯ ได้หารือแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ การอำนวยความยุติธรรมภายใต้แนวทางยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง ครอบคลุมกระบวนการสืบสวน ดำเนินคดี และการคุ้มครองผู้เสียหาย โดยมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา (FBI) องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration) ประจำประเทศไทย และ UNODC ร่วมแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ ควบคู่กับการอภิปรายเรื่องการจัดการเส้นทางการเงินและการใช้เทคโนโลยีเพื่อต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งภาคเอกชนด้านเทคโนโลยี เครือข่าย Global Anti-Scam Alliance (GASA) และสหภาพยุโรป ได้ร่วมหารือบทบาทเชิงปฏิบัติ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รับรอง “แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ” โดยมีประเทศต่าง ๆ อาทิ เปรู บังกลาเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนปาล และภาคเอกชน เช่น TikTok ร่วมสนับสนุน เพื่อย้ำเจตนารมณ์ในการยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลและพยานหลักฐาน การคุ้มครองผู้เสียหาย และการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการป้องกัน ตรวจจับ และลดการแพร่กระจายของการหลอกลวงออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ

การประชุมครั้งนี้ยังได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติ โดยชื่นชมต่อบทบาทเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อต่อต้าน Online Scams โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 พลเอก ดิเรก บงการ หัวหน้าศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ในฐานะผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก ได้หารือกับนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ซึ่งนายหลิวได้แสดงความชื่นชมต่อความร่วมมือระหว่างไทย เมียนมา และจีน ในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมหลอกลวงในพื้นที่เมืองเมียวดี ที่สามารถจับกุมและส่งกลับผู้ต้องหาชาวจีนกว่า 6,600 คน พร้อมยืนยันว่าความร่วมมือในลักษณะนี้เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาค

ฝ่ายจีนยังได้สะท้อนความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาฝั่งเมียนมา ซึ่งปัจจุบันได้ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ และร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยตรวจอาคารในพื้นที่ KK Park กว่า 400 แห่งแล้ว พร้อมขอความร่วมมือให้ไทยเพิ่มมาตรการสกัดกั้นกลุ่มผู้กระทำผิดที่พยายามใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน ทั้งตามช่องทางธรรมชาติและด่านตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเก็บรวบรวมอุปกรณ์และวัตถุพยาน เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์อย่างรอบคอบ เพื่อใช้ในการดำเนินคดีและขยายผลเครือข่ายอาชญากรรม ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ทางการจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งไม่เพียงแต่ในมิติของการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่กับเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ อีกด้วย โดยในช่วงที่ผ่านมา ไทยได้ดำเนินการติดตามและปราบปราม scam center ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติทั้งในพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา โดยกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระบุว่าเป้าหมายบางส่วนที่ถูกทำให้เป็นกลางนั้นเคยถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งมีการนำแรงงานค้ามนุษย์มาใช้ในการกระทำผิด และมีการบังคับให้สวมบทบาทโน้มน้าวเหยื่อทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของการรับมือทั้งในระดับปฏิบัติและระดับนโยบายระหว่างประเทศ ซึ่งการประชุมหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ครั้งนี้ได้เปิดเวทีให้ผู้แทนจากประเทศต่างๆ แลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ และยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการพัฒนากลไกตอบโต้เครือข่ายอาชญากรรมข้ามพรมแดนอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้การปราบปราม Online scams เป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองอย่างจริงจัง รัฐบาลจึงเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ทั้งการเสริมความเข้มแข็งการบังคับใช้กฎหมาย จัดตั้งหน่วยงานต่อต้านสแกมเมอร์เฉพาะทาง และยกระดับการประสานงานภายในประเทศ ควบคู่กับการผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เคลื่อนย้ายข้อมูลและเงินได้อย่างรวดเร็ว และปรับตัวได้เหนือพรมแดน การที่ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ และมีผู้เข้าร่วมการประชุมเกินความคาดหมาย สะท้อนบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางความร่วมมือระดับภูมิภาคในการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าทำงานร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศและทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อปกป้องประชาชนและสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง