“พาณิชย์” ยกระดับข้าวประณีต วัตถุดิบเกษตรไทยสู่อาหารระดับโลก “ไทย – ลาว” ขยายความร่วมมือเศรษฐกิจ-การค้า เตรียมเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) 25 ธ.ค. 68

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้ายกระดับ “ข้าวประณีต” และวัตถุดิบเกษตรไทยสู่การเป็นประสบการณ์ด้านอาหารระดับโลก ผ่านโมเดล “Local Ingredients World Class Experiences” เชื่อมโยงสินค้าเกษตรคุณภาพกับอุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยว และการบิน เพื่อเพิ่มมูลค่า ขยายตลาด และสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม โดยกรมการค้าภายใน (DIT) ผนึกกำลังภาคเอกชน จับมือบริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตรายการ MasterChef (Thailand) และ 3 สายการบินชั้นนำ ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบางกอกแอร์เวย์ส เปิดตลาดศักยภาพใหม่ให้สินค้าเกษตรไทยสู่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการต่อยอดนโยบายการขับเคลื่อนสินค้าเกษตรจาก “วัตถุดิบท้องถิ่น” สู่ “สินค้ามูลค่าสูง” โดยนำ ข้าวประณีต และวัตถุดิบเกษตรคุณภาพของไทย อาทิ ปลากะพงสามน้ำ จากทะเลสาบสงขลา สับปะรดภูแล จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นสินค้า GI ในความส่งเสริมของกระทรวงพาณิชย์ มาเชื่อมกับแพลตฟอร์มอาหารระดับประเทศอย่าง MasterChef (Thailand) เพื่อสร้างการรับรู้และการบริโภคในวงกว้าง พร้อมพัฒนาเป็นเมนูอาหารที่เข้าถึงผู้บริโภคจริงผ่านสายการบิน ซึ่งเป็นช่องทางที่มีศักยภาพและเชื่อมโยงตลาดนานาชาติได้โดยตรง

สำหรับโครงการ DIT x MasterChef เชฟผู้เข้ารอบชิงชนะเลิศ 3 คนสุดท้ายของรายการ MasterChef (Thailand) ซีซัน 7 จะนำวัตถุดิบสินค้าเกษตรไทยมารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษ และพัฒนาเป็นเมนูจำหน่ายบนเที่ยวบินของสายการบินแอร์เอเชียทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงให้บริการในห้องรับรองพิเศษของการบินไทย และบนเที่ยวบินและเลาจ์ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ซึ่งไม่เพียงเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรไทย แต่ยังเป็นการนำเสนออัตลักษณ์อาหารไทยในรูปแบบ Soft Power สู่สายตาผู้โดยสารจากทั่วโลก

นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณบริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด รวมถึงสายการบินทั้ง 3 แห่ง ที่ร่วมเป็นพันธมิตรสำคัญในการขยายตลาดสินค้าเกษตรไทย ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนพลังของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการยกระดับสินค้าเกษตรจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกรไทย

ด้าน นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากความร่วมมือก่อนหน้า โดยเฉพาะโครงการ DIT x AirAsia ซึ่งได้รับรางวัล Creative Excellence Awards 2025 จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สะท้อนศักยภาพของการนำความคิดสร้างสรรค์มาผสานกับการตลาดสินค้าเกษตรไทย และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

จากนั้นกรมการค้าภายในได้รับมอบหมายให้ขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรสายการบินเพิ่มเติม เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้สินค้าเกษตรในกลุ่มปศุสัตว์ ประมง และผลไม้ อาทิ ปลากะพง กุ้งขาวแวนนาไม เนื้อโค ข้าวประณีต สับปะรดภูแล และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง นำมายกระดับเป็นเมนูอาหารคุณภาพ เสิร์ฟแก่ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

โครงการนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารบนเครื่องบิน แต่เป็นโมเดลการตลาดใหม่ที่ช่วยให้สินค้าเกษตรไทยเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดศักยภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างเป็นรูปธรรม ผู้โดยสารที่เดินทางกับแอร์เอเชีย การบินไทย และบางกอกแอร์เวย์ส จะได้ลิ้มลองเมนูพิเศษที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทย อิ่มท้อง และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากไปพร้อมกัน

กรมการค้าภายในเชื่อมั่นว่า โมเดล “Local Ingredients World Class Experiences” จะเป็นต้นแบบสำคัญในการยกระดับสินค้าเกษตรไทย เพิ่มมูลค่า ขยายตลาด และกระจายรายได้สู่เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันสินค้าเกษตรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังเป็นเจ้าภาพจัดประชุมแผนความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ไทย-ลาว ครั้งที่ 8 ณ กรุงเทพมหานคร เป็นประธานร่วมกับนายมะไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป. ลาว มุ่งขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจผลักดันการค้าสองฝ่ายให้บรรลุเป้าหมาย 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยกระดับการแลกเปลี่ยนสถิตินำเข้า-ส่งออก เพื่อติดตามการเคลื่อนย้ายสินค้าสำคัญ พร้อมปรับกลไกค้าชายแดน และเตรียมเปิดใช้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 เชื่อมโยงบึงกาฬ-บอลิคำไซ ในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 เพื่อเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าไทยไปยังเวียดนามและจีน

นางศุภจี เปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงในลุ่มน้ำโขง เพื่อให้ไทยและลาวเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ผ่านแดนระหว่างอาเซียนกับจีน โดยได้หารือกันถึงแนวทางการเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเส้นทางรถไฟลาว-จีน ให้มากยิ่งขึ้น โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาการขนถ่ายสินค้าของไทยขึ้นรถไฟลาว-จีน โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายรถ และมีบัญชีค่าธรรมเนียมในการขนส่งที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนและคำนวนต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน (Joint benefit) ต่อทั้งไทยและ สปป.ลาว ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Land linked ของ สปป.ลาว

อีกทั้ง ยังได้ร่วมหารือถึงแนวทางขยายการค้าทวิภาคีให้บรรลุเป้าหมาย 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570 จากมูลค่าการค้าปัจจุบันในปี 2567 กว่า 8,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งสองฝ่ายจะจัดทำแผนงาน 5 ปี (พ.ศ. 2569-2573) เพื่อเป็นทิศทางการทำงานร่วมกันของทั้งสองกระทรวงที่เป็นระบบและมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน และจะฟื้นฟูกลไกด้านเกษตร เพื่อร่วมกันพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตร และเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางอาหารในตลาดโลก โดยเน้นสินค้าเกษตรที่ปลอดการเผา เพื่อลดปัญหา PM2.5 ข้ามแดน โดยทั้งสองฝ่ายสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิตินำเข้า – ส่งออกสินค้าสำคัญ เพื่อประเมินข้อมูลและคาดการสถานการณ์การค้าได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งรวมถึงสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปัจจุบันมีการควบคุมการส่งออก ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี โดยฝ่าย สปป.ลาว ได้ยืนยันว่าการนำเข้าสินค้าน้ำมันจากไทยเพื่อใช้ภายในประเทศและไม่ส่งออกไปยังประเทศที่สาม

การประชุมครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ของไทย และสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว เข้าร่วมหารือ เพื่อเสนอแนะแนวทางความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ซึ่งจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมของภาคเอกชนสองฝ่าย และคณะอนุกรรมการในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการสร้างแบรนด์ การท่องเที่ยวและสังคม นโยบายและกฎระเบียบ การพัฒนาดิจิทัลและ AI และการเงิน โดยผลักดันให้ภาคเอกชนประชุมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง คู่ขนานกับการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทย-ลาว ทั้งนี้ สปป.ลาว เป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยในอาเซียน และอันดับ 18 ในโลก การค้ารวมในปี 2567 มีมูลค่า 8,283.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออก 4,929.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 3,358.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยได้ดุลการค้า 1,570.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีมูลค่ารวม 8,183.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวขึ้น 18.65% ไทยส่งออก 4,807.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.90% ขณะที่การนำเข้าจาก สปป.ลาว มูลค่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 21.23% ไทยส่งออกสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำตาลทราย ขณะที่นำเข้าสินค้าจาก สปป.ลาว ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง