กต. มั่นใจไม่มีอะไรกดดันไทยให้เสียเปรียบในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ 22 ธ.ค. 68 ไทยย้ำจุดยืน 3 เงื่อนไขหยุดยิง

นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะนำคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศและผู้แทนหน่วยงานความมั่นคง เดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม 2568 แม้ว่าในช่วงนี้ จะมีหลายประเทศที่แสดงความคิดเห็นและท่าทีเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชามากขึ้น ขอยืนยันอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีปัจจัยอะไรที่จะสามารถกดดันให้ฝ่ายไทยต้องเสียเปรียบในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากไทย ได้ย้ำและยืนยันจุดยืนด้านสันติภาพมาโดยตลอด ผ่านเงื่อนไข 3 ข้อของไทย ประกอบด้วย 1. ไทยปรารถนาสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน 2. กัมพูชาต้องแสดงความจริงใจใน 3 ข้อ (1) กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อน (2) กัมพูชาต้องหยุดยิงจริงและต่อเนื่อง (3) ร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด 3. การหยุดยิงต้องมาจากการประเมินสถานการณ์จากฝ่ายทหาร ทั้งนี้มองว่าเวทีนี้จะเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าท่าทีของไทย อยู่บนหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ส่วนคนไทยในกัมพูชา โดยเฉพาะที่ติดค้างอยู่ในเมืองปอยเปตขณะนี้ ขอให้ติดต่อกับทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ก่อนออกเดินทางไปยังท่าอากาศยาน เพื่อเดินทางกลับประเทศ เพื่อจะได้ออกเอกสารเดินทางฉุกเฉินได้ทัน พร้อมกันนี้ ไทยยังคงเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชา ยกเลิกมาตรการระงับการเดินทางทางบกของคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งการควบคุมการเดินทางออกนอกประเทศของชาวต่างชาติ เป็นมาตรการที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ส่วนสถานการณ์ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ยังคงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุการณ์สำคัญเริ่มจากเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ตรวจพบเรือไม่ทราบฝ่ายรุกล้ำน่านน้ำของประเทศไทย ทำให้กองทัพเรือจำเป็นต้องยิงเตือนเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ส่วนกองทัพอากาศได้ปฏิบัติการทางอากาศเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงอาวุธของฝ่ายกัมพูชา และในเวลา 11.20 น. วันที่ 20 ธันวาคม 2568  ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติการทางอากาศอีกครั้ง เพื่อทำลายคลังอาวุธของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีการใช้อาคารกาสิโนร้างเป็นสถานที่ซุกซ่อนอาวุธ ส่วนพื้นที่เนิน 350 นั้นฝ่ายไทยสามารถเข้าควบคุมได้แล้ว และอยู่ระหว่างนำร่างกำลังพลที่เสียชีวิต 2 นาย กลับลงมาเพื่อนำส่งญาติประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป ซึ่งการเคลื่อนย้ายจะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพฤติการณ์ของฝ่ายกัมพูชาที่ผ่านมา อาจมีการวางทุ่นระเบิดไว้

นอกจากนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประกาศห้ามบินอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) พื้นที่ที่มีการวางกองกำลัง หรือการปฏิบัติการภาคพื้นระดับจังหวัด ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จันทบุรี ตราด สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี รวมถึงอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง และพื้นที่ที่หน่วยงานปกครอง และหน่วยงานความมั่นคงได้รับการประสานให้ประกาศห้ามเป็นการเฉพาะเพิ่มเติม ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

พันตรีหญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากข้อมูลและหลักฐานที่ตรวจสอบได้ในปัจจุบัน พบว่ากัมพูชาไม่ได้โจมตีเฉพาะพื้นที่ทางทหารเท่านั้น แต่ยังมีการระดมยิงอาวุธหลากหลายชนิดเข้าสู่พื้นที่พลเรือนของประเทศไทย ส่งผลให้ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยของประชาชนแล้ว พื้นที่ทางการเกษตรซึ่งเป็นแหล่งทำกินของประชาชนก็ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน โดยล่าสุดพบว่ามีการใช้อาวุธจรวด BM-21 ยิงตกลงในพื้นที่การเกษตรของประชาชน ส่งผลให้ไร่อ้อยได้รับความเสียหายมากกว่า 5,000 ไร่ ทั้งนี้ พื้นที่ด้านปศุสัตว์ก็ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน จากการสำรวจพบว่ามีตำบลที่มีกระสุนตกในพื้นที่พลเรือนไม่น้อยกว่า 138 แห่ง บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 80 หลัง สถานพยาบาล 1 แห่ง ศาสนสถาน 5 แห่ง สถานศึกษา 2 แห่ง รวมทั้งมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 ราย

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ที่ใช้กำลังทางทหารและอาวุธโจมตีเข้ามาในพื้นที่ชุมชนและบ้านเรือนประชาชนใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่พลเรือน เป็นการละเมิดหลักการคุ้มครองพลเรือนตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและบรรทัดฐานตามหลักสากลอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนไทยผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก การใช้กำลังในลักษณะดังกล่าว ได้สร้างความสูญเสียและความเดือดร้อนแก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างกว้างขวาง กองทัพบกขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการกระทำที่ก่อให้เกิดความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในทันทีพร้อมทั้งปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด

เรือโทหญิง นภัสกร ทิพย์โส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568 กองทัพเรือได้ตรวจพบเรือจากฝั่งกัมพูชามีพฤติการณ์เดินเรือในลักษณะติดตามระยะประชิดหมู่เรือของกองทัพเรือไทย จึงใช้อาวุธยิงเตือนต่อเป้าหมาย ส่งผลให้เรือลำดังกล่าวต้องปรับทิศทางเดินเรือกลับไปยังน่านน้ำของประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเรียบร้อย และขอยืนยันต่อประชาชนว่าขณะนี้พื้นที่มีความปลอดภัย ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวหน่วยซุ่มยิงยิงผู้บัญชาการทหารเรือ ยืนยันว่าเป็นข้อมูลเท็จ ทั้งนี้หลังจากกองทัพเรือได้เข้าควบคุมพื้นที่บ้านหนองรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายกัมพูชาเข้ามารับศพภายใต้การควบคุมของการปฏิบัติการ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเข้ามารับศพไปแต่อย่างใด ซึ่งได้เก็บรักษาไว้ชั่วคราวที่โรงพยาบาลตราด

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองทัพเรือ โดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้เข้าควบคุมและยึดคืนพื้นที่บริเวณ บ้านท่าเส้น ตำบลชำราก อำเภอเมืองตราด รวมถึงพื้นที่อาคารกาสิโนทมอดา ได้สำเร็จ

นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน ชี้แจงกรณีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ไม่ทราบฝ่าย บินเข้ามาก่อกวนบริเวณแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติกลางทะเลตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดร่วมกับกลุ่มผู้รับสัมปทานและผู้รับสัญญาทุกบริษัท และจากการหารือร่วมกับกลุ่มผู้รับสัมปทานและผู้รับสัญญาทุกบริษัทที่ดำเนินการผลิตปิโตรเลียมในทะเล ได้กำหนดมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีแนวทางสำคัญ ดังนี้ 1. เพิ่มการเฝ้าระวังเรือและอากาศยานไร้คนขับที่อาจเข้ามาในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม 2. กรณีตรวจพบเรือใด ๆ เข้ามาในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม ขอให้ดำเนินการขับไล่ออกจากพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมโดยทันที และหากไม่สามารถดำเนินการที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้นได้ ให้แจ้งกองทัพเรือและกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบโดยทันที 3. หากพบอากาศยานไร้คนขับเข้ามาในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม ให้แจ้งกองทัพเรือ และกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติทราบโดยทันที เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานนอกชายฝั่ง 4. ขอความร่วมมืองดการส่งผู้ปฏิบัติงานนอกชายฝั่งไปยังแท่นหลุมผลิตในช่วงเวลากลางคืน 5. ขอให้พิจารณาจัดทำแผนระงับเหตุวินาศกรรมทางทะเล เพื่อความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ปฏิบัติงานนอกชายฝั่ง

นอกจากนี้ได้จัดตั้งกลุ่มประสานงานและเฝ้าระวังเหตุทางทะเลร่วมกับผู้รับสัมปทานและผู้รับสัญญา
ในทะเล เพื่อรายงานสถานการณ์รายวัน และขอความร่วมมือจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการเฝ้าระวังและแจ้งเหตุให้กองทัพเรือ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และกรมเจ้าท่า เพื่อขอความร่วมมือในการประกาศให้เรือทุกลำที่แล่นอยู่ในอ่าวไทยเปิดสัญญาณเรดาร์ (Radar) และระบบ AIS (Automatic Identification System) เพื่อแสดงตัวตนของเรือต่อเรือลำอื่นๆ และเพื่อความปลอดภัย ในการเดินเรือและการดำเนินงานในพื้นที่ทะเลอ่าวไทยทั้งหมด กระทรวงพลังงาน ขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตปิโตรเลียม และจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า การปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพไทยตั้งแต่เริ่มต้น มุ่งโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางการทหารเท่านั้น โดยเป้าหมายที่ฝ่ายกัมพูชานำมาอ้างว่าไทยโจมตีพื้นที่พลเรือนนั้น ในปัจจุบันเป็นอาคารกาสิโนร้างที่ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการและควบคุมทางทหาร และเคยถูกโจมตีมาแล้ว ซึ่งกัมพูชาได้กลับเข้าไปใช้งานอีกครั้ง กองทัพอากาศจึงโจมตีเพื่อทำลายเป้าหมายดังกล่าวอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังได้โจมตีทางอากาศบริเวณสะพานโอร์จิก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมต่อจังหวัดอุดรมีชัยตอนหลังไปยังพื้นที่ปฏิบัติการส่วนหน้าของฝ่ายกัมพูชา ได้แก่ บริเวณปราสาทตาควายและเนิน 350 ซึ่งการโจมตีดังกล่าวส่งผลให้การลำเลียงกำลังบำรุง อาวุธยุทโธปกรณ์ และยุทภัณฑ์ ต่างๆ ไปยังพื้นที่แนวหน้าเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ถือเป็นการปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ขอย้ำว่าการปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการกดดันและส่งสัญญาณอย่างชัดเจนไปยังกลุ่มผู้นำของรัฐบาลกัมพูชา ว่ากองทัพไทยจะยังคงดำเนินปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่อง จนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยอมรับเงื่อนไขทั้ง 3 ประการที่รัฐบาลไทยเสนอ เพื่อนำไปสู่การหยุดยิงและการเจรจาเพื่อสันติภาพ
ในอนาคตต่อไป

ขณะที่ ที่ว่าการอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ประกาศ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอน้ำยืน อนุญาตให้ประชาชนกลับเข้าพื้นที่อยู่อาศัยในพื้นที่อำเภอน้ำยืน ยกเว้น พื้นที่ตำบลโดมประดิษฐ์ สีวิเชียร และโซง ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป สำหรับประชาชนที่ยังกังวลในสถานการณ์ หรือยังไม่ประสงค์กลับเข้ามายังพื้นที่ภูมิลำเนา ยังคงสามารถพักอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือสถานที่ปลอดภัยได้ ทั้งนี้ ขอให้ติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันประเทศของกองกำลังทหาร ตำรวจ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

นอกจากนี้ พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปะทะ ระหว่างทหารไทย และทหารกัมพูชา พร้อมกล่าวชื่นชมในความเข้มแข็ง และให้กำลังใจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านทุกนาย ซึ่งพร้อมทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์แนวหลัง ดูแลคุ้มครองประชาชนในพื้นที่ และเป็นกองหนุนสำคัญ สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของทหารแนวหน้า เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติให้บรรลุผลสำเร็จ

ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อรับฟังสถานการณ์ด้านราคาและปริมาณสินค้า รวมทั้งความต้องการสิ่งของอุปโภคบริโภคจำเป็น โดยจังหวัดศรีสะเกษ มีประชาชนที่ต้องอพยพเนื่องจากความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชากว่า 110,000 คน จาก 20 อำเภอ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้นำสิ่งของอุปโภคบริโภคที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนไปมอบให้แก่ศูนย์พักพิงชั่วคราว มูลค่าประมาณ 7.45 ล้านบาท ทั้งนี้จากการติดตามสถานการณ์การค้า พบว่าของกินของใช้จำเป็น มีจำหน่ายตามปกติ และไม่พบการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าในราคาแพง ซึ่งได้เน้นย้ำให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั้ง 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ติดตามสถานการณ์ราคาและปริมาณสินค้าในพื้นที่อย่างใกล้ชิดและกำกับดูแลไม่ให้มีปัญหาสินค้า ขาดแคลนและให้จำหน่ายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะจัดมหกรรมธงฟ้า สินค้าราคาประหยัดกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนอย่างต่อเนื่อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง