นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยพลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีสดุดีและร่วมส่งศพ จ.ส.อ.สำเริง คลังประโคน และ พลทหารภาณุพัฒน์ เสาร์สา สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ทหารกล้าผู้พลีชีพปกป้องอธิปไตยจากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพื้นที่เนิน 350 อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กลับภูมิลำเนาอย่างสมเกียรติ โดยได้มีประชาชนเดินทางมาร่วมยืนโบกสะบัดธงชาติไทยระหว่างเส้นทางที่ขบวนเคลื่อนศพทหารกล้าทั้ง 2 นายผ่าน เพื่อสดุดีแด่วีรกรรมของทหารกล้าผู้พลีชีพปกป้องแผ่นดินไทย ศพของ จ.ส.อ.สำเริง คลังประโคน จะประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดห้วยปอ ต.ปังกู อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ และศพของ พลทหารภาณุพัฒน์ เสาร์สา จะประกอบพิธี ณ วัดกลาง ขุขันธ์ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้การเสียชีวิตนี้เป็นรายสุดท้าย ขณะนี้กองทัพไทยสามารถยึดพื้นที่เป้าหมายทางทหารกลับคืนมาได้เกือบทั้งหมด และตั้งมั่นในพื้นที่แล้ว พร้อมผลักดันให้ฝ่ายตรงข้ามถอนกำลังออกไป โดยย้ำว่าไทยไม่ได้ละเมิดข้อตกลงใด ๆ นี่คือแผ่นดินของประเทศไทย ถ้าหากต้องการให้หยุดการปะทะ ฝ่ายตรงข้ามต้องหยุดยิง หยุดคุกคาม และหยุดการรุกรานทุกรูปแบบ ในประเด็นการเจรจา นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธการมีตัวกลางจากต่างชาติ ยืนยันเป็นเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชาเท่านั้น ส่วนการดูแลประชาชนในพื้นที่ชายแดน รัฐบาลยังคงอพยพเพื่อความปลอดภัย พร้อมดูแลด้านอาหารและเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกัน ครอบครัวทหารที่เสียชีวิตจะได้รับการปูนบำเหน็จและสิทธิประโยชน์สูงสุดตามระเบียบราชการ
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลโท อดุลย์ ยังได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชนผู้อพยพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ศูนย์พักพิงในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยได้พบปะสอบถามความเป็นอยู่ให้กำลังใจแก่ประชาชน รวมถึงเยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มแม่ครัวอาสาและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายในศูนย์พักพิง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดเตรียมอาหารและดูแลความเป็นอยู่ของผู้อพยพในแต่ละวัน พร้อมมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลความเป็นอยู่ ความปลอดภัย สุขอนามัย และการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งคลี่คลายสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจ จ่าเอก เทอดพงษ์ ผมนะรา สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด กองทัพเรือ หลังเหยียบทุ่นระเบิดที่ทหารกัมพูชาฝังไว้บริเวณพื้นที่บ้านสามหลัง บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด เกิดเหตุเมื่อช่วงเช้าวันที่ 21 ธันวาคม 2568 จากนั้นถูกนำส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี สำหรับอาการของจ่าเอก เทอดพงษ์ ขณะนี้ปลอดภัยแล้วและรู้สึกตัว โดยแพทย์โรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้ผ่าตัดและสามารถห้ามเลือดบริเวณแผลได้แล้ว แต่ยังต้องให้ยาฆ่าเชื้ออีก 1 สัปดาห์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวว่าทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดของกัมพูชา จึงรีบเดินทางมาจากจังหวัดสุรินทร์ เพื่อมาเยี่ยมและให้กำลังใจจ่าเอก เทอดพงษ์ และครอบครัว ซึ่งทางรัฐบาลและกองทัพ จะไม่ทอดทิ้งวีรบุรษเหล่านี้ พร้อมดูแลและเยียวยาอย่างเต็มที่
พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติภารกิจเข้าเคลียพื้นที่และปรับปรุงที่มั่นในพื้นที่บ้านหนองรี ทั้งนี้กองทัพเรือได้ติดตามอาการของกำลังพลอย่างใกล้ชิด และได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่โดยรอบอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันเกิดเหตุซ้ำ พร้อมทั้งให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า กองทัพกัมพูชายังคงมีเจตนาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ ซึ่งเข้าข่ายเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมถึงการกระทำอันขัดต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนผู้บริสุทธิ์
พลเรือตรี ปารัช ยังได้ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดพันธกรณีตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) อย่างชัดเจน ภายหลังจากกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้เข้าควบคุมและตรวจสอบพื้นที่บ้านหนองรี และบ้านท่าเส้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยเข้ายึดครองและใช้เป็นฐานที่มั่นทางทหาร ได้ตรวจพบวัตถุพยานจำนวนมากที่ไม่อาจปฏิเสธได้ อันแสดงถึงการวางแผนและการกระทำโดยเจตนาในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ได้แก่ การตรวจพบแผนผังแสดงตำแหน่งการฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดดัดแปลง ในพื้นที่บ้านหนองรี สะท้อนถึงการเตรียมการล่วงหน้าเพื่อประสงค์ต่อชีวิตทหารไทย
การตรวจพบคลังอาวุธและทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบดัดแปลงจำนวนมาก ในพื้นที่บ้านท่าเส้น (กาสิโนทมอดา) ซึ่งยืนยันถึงการที่ทหารกัมพูชาได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ และการกระทำดังกล่าวส่งผลให้กำลังพลทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเป็นรายที่ 8 กองทัพเรือจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการในระดับรัฐต่อไป รวมถึงการแจ้งต่อประชาคมระหว่างประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รับทราบถึงการละเมิดอย่างต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชา
ส่วนกรณีมีการอ้างว่ากองทัพเรือได้ยื่นข้อเสนอให้ฝ่ายกัมพูชารื้อถอนเขื่อนกันคลื่นในพื้นที่ชายแดนทางทะเลบริเวณหลักเขตที่ 73 นั้น พลเรือตรี ปารัช ชี้แจงว่า กองทัพเรือ ไม่ได้ข่มขู่หรือเจรจา แต่ในระยะเวลาก่อนหน้า ที่จะเกิดการปะทะตามแนวชายแดน กองทัพเรือได้มีการเรียกร้องอย่างเป็นทางการให้ฝ่ายกัมพูชารื้อถอนเขื่อน กันคลื่นดังกล่าว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพเรือได้ยื่นหนังสือแสดงความห่วงกังวล ขอให้มีการระงับการดำเนินการและพิจารณาผลกระทบในประเด็นดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดน เนื่องจากการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางทะเล การเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่ง ตลอดจนประเด็นด้านความมั่นคงและการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนทางทะเล การแสดงความกังวลดังกล่าว กองทัพเรือได้ดำเนินการผ่านกลไกความร่วมมือด้านชายแดนที่มีอยู่ตามกรอบทวิภาคีมาโดยตลอด ซึ่งฝ่ายกัมพูชารับทราบถึงท่าทีและความห่วงกังวลของฝ่ายไทยในเรื่องนี้เป็นอย่างดี กองทัพเรือคาดว่าภายหลังจากที่ฝ่ายไทยได้เข้าดำเนินการเคลียร์พื้นที่ที่ถูกล่วงล้ำตามแนวชายแดนทางบกและทางทะเลจนสามารถควบคุมสถานการณ์และดำเนินการได้เรียบร้อย ส่งผลให้การบริหารจัดการพื้นที่เป็นไปด้วยความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการแก้ไขประเด็นค้างคาในพื้นที่ด้วยแนวทางที่เหมาะสมและสันติ
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้ระดมยิงจรวด BM-21 ตกใส่พื้นที่พลเรือน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กองทัพภาคที่ 1 แจ้งว่า เนื่องจากปัจจุบันกองกำลังบูรพา มีการปฏิบัติการทางทหารต่อที่หมายทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 จึงขอความร่วมมือประชาชน 4 อำเภอชายแดน จ.สระแก้ว งดเข้าพื้นที่พักอาศัย และให้อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ตามที่ทางราชการจัดให้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ทั้งนี้ ขอให้รับฟังข่าวสารและติดตามการแจ้งประกาศจากส่วนราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ
ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยส่งผลให้มีประชาชนชาวกัมพูชาเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ยืนยันว่า เป็นคำพูดเท็จ ตลอดกว่า 10 วัน ที่ผ่านมา ปฏิบัติการของกองทัพอากาศต่อเป้าหมายที่อยู่ใกล้เคียงกับแหล่งชุมชนหรือพื้นที่พลเรือน ได้ใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูงทั้งสิ้น พร้อมยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ ไม่มีความสูญเสียใดๆ เกิดขึ้นกับฝ่ายพลเรือนของกัมพูชา ส่วนการโจมตี สะพานโอร์จิก กองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินไปปฏิบัติภารกิจหลายครั้งในเวลากลางวัน แต่ต้องสั่งยกเลิกภารกิจกลางคัน เนื่องจากนักบินตรวจพบว่ามีชาวกัมพูชาใช้เส้นทางดังกล่าวสัญจรเป็นจำนวนมาก จะเกิดความเสี่ยงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องชั่งน้ำหนักผลกระทบ ท้ายที่สุด กองทัพอากาศจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้กำลังทางอากาศเข้าโจมตีสะพานโอร์จิกในเวลากลางคืนแทน
นายภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำความเข้าใจเรื่องหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองพลเรือน หัวใจสำคัญคือจะต้องสร้างสมดุลระหว่าง ความจำเป็นทางทหาร และหลักมนุษยธรรม ซึ่งนำมาสู่หลักการพื้นฐานคือการแยกแยะระหว่างพลเรือนและทหารอยู่เสมอ และการโจมตีต้องพุ่งเป้าหมายไปยังทหารเท่านั้น พลเรือนต้องไม่ตกเป็นเป้าของการโจมตี ในความเป็นจริงอาจหลีกเลี่ยงผลกระทบทางอ้อมไม่ได้ จึงกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมคือ ต้องใช้ความระมัดระวังเท่าที่จะทำได้เพื่อเลี่ยงหรือลดความเสียหายต่อพลเรือนที่ใช้กับทั้ง 2 ฝ่าย และหลักการได้สัดส่วน ที่กำหนดให้การโจมตีแต่ละครั้งต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือนมากเกินไป ทั้งนี้จากพยานหลักฐานพบว่ากัมพูชาล้วนละเมิดหลักการดังกล่าวทั้งสิ้น โดยเฉพาะการใช้โล่มนุษย์
ด้านการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง พลตำรวจตรี จตุรภัทร์ ภิรมย์แก้ว รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เพื่อป้องกันการก่อวินาศกรรมและก่อความไม่สงบที่อาจเกิดขึ้นภายในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ขอแนะนำวิธีสังเกตสิ่งของต้องสงสัยที่อาจเป็นวัตถุระเบิดให้กับประชาชนและผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับที่พัก เช่น พบเห็นวัตถุที่ไม่เคยเห็น อยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ ไม่มีเจ้าของ หรือมีลักษณะไม่เรียบร้อย ขออย่าเข้าไปสัมผัสและขอให้เว้นระยะห่าง 100 – 150 เมตร และแจ้งให้ตำรวจทราบผ่านสายด่วน 191 และ 1599 โดยบอกรูปพรรณสัณฐานของวัตถุดังกล่าวโดยละเอียดเพื่อให้ตำรวจดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ขอให้สังเกตพฤติกรรมของบุคคลต้องสงสัยหากพบขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง
นอกจากนี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะผู้แทนไทย และหน่วยงานด้านความมั่นคง ไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 22 ธันวาคม 2568 นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยเตรียมนำข้อมูล ข้อเท็จจริง และหลักฐานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเข้าชี้แจงต่อกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมการประชุม พร้อมย้ำจุดยืนของประเทศไทยที่ต้องการให้เกิดสันติภาพ มาโดยตลอด แต่ไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อไทยของฝ่ายกัมพูชาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อมนุษยธรรมอย่างรุนแรง อาทิ การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยให้ความสำคัญและมีท่าทีที่ชัดเจนในการคัดค้าน ทั้งนี้ไทยมุ่งหวังจะเห็นท่าทีที่ชัดเจนจากกัมพูชาใน 3 ปัจจัยสำคัญที่เคยเสนอมาอย่างต่อเนื่อง คือ 1. กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิง 2. การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ เพื่อให้ทหารของทั้ง 2 ประเทศสามารถหารือถึงขั้นตอนการลดความตึงเครียดในลำดับถัดไปได้ และกัมพูชาต้องแสดงความจริงใจในการร่วมมือกับไทย
เพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิด 3. การหยุดยิงต้องมาจากการประเมินสถานการณ์จากฝ่ายทหาร การเจรจานี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้รอดูท่าทีของฝ่ายกัมพูชา หลังจากที่ไทยมีท่าทีที่ชัดเจนและคงเส้นคงวามาโดยตลอด








