“สีหศักดิ์” เผย การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ยังไม่มีข้อตกลงหยุดยิง ย้ำ การหยุดยิงต้องมาจากการเจรจา ประชุม GBC 24 ธ.ค. 68  

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังการพบหารือกับ นายเติ้ง ซีจวิน (H.E. Mr. Deng Xijun) เอกอัครราชทูตและผู้แทนพิเศษด้านกิจการเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศจีน โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชาว่า เป็นประเด็นความสัมพันธ์ ทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ โดยยืนยันว่ารัฐบาลไทยมีจุดยืนชัดเจนในการแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสันติภาพ และดำเนินการภายใต้กรอบที่เหมาะสม ซึ่งจากการหารือกับเอกอัครราชทูตและผู้แทนพิเศษด้านกิจการเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศจีน ที่ได้เดินทางไปพูดคุยกับกัมพูชามาก่อนแล้ว และได้มาพูดคุยกับฝ่ายไทย โดยจีนแสดงท่าทีเป็นกลาง ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ และไม่ได้เข้ามาชี้นำหรือกดดันให้ฝ่ายใดต้องตกลงในประเด็นใดเป็นการเฉพาะ เพียงแต่สนับสนุนให้เกิดการสร้างสันติภาพในภูมิภาค ซึ่งไทยมีจุดยืนชัดเจนอยู่แล้วว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ตามเงื่อนไขที่ไทยได้เคยแจ้งมาแล้ว พร้อมย้ำว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ คนไทยต้องให้ความสำคัญกับความสมัครสมานสามัคคีเป็นอันดับแรก

นายกรัฐมนตรี ยังชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพไทยที่ทุ่มเทเสียสละในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยกองทัพได้วางแผนและกำหนดเป้าหมายการปฏิบัติการไว้อย่างชัดเจน แม้จะมีต้นทุนจากการปฏิบัติภารกิจ แต่เป้าหมายหลักยังคงดำรงอยู่ พร้อมขอให้ประชาชนร่วมเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และทหารแนวหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละและไม่เกรงกลัวต่ออันตราย ซึ่งจากการลงพื้นที่ชายแดนหลายครั้ง พบว่าประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารเป็นอย่างดี รวมถึงการย้ายเข้ามาอยู่ในสถานที่พักพิงที่รัฐจัดเตรียมไว้เพื่อความปลอดภัย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวล

สำหรับสถานการณ์ชายแดนในระยะต่อไป รัฐบาลจะเร่งดำเนินการให้ข้อพิพาทและความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านมีข้อยุติโดยเร็วที่สุด โดยไม่ปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ พร้อมยืนยันว่ากองทัพมีความพร้อมและทราบแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจประชาชน และยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าว มีความปลอดภัยสูงสุดสำหรับประชาชนและครอบครัว พร้อมเน้นย้ำถึงการดูแลขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทย เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวล ต่อความเป็นอยู่ของครอบครัว ส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รัฐบาลได้ดำเนินการเยียวยาประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเสนอการใช้งบกลางเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณา โดยเชื่อว่า กกต. เข้าใจถึงความจำเป็นของสถานการณ์เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ครั้งที่ 17/2568 โดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ตรวจพบการลักลอบนำอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้ามาในประเทศ โดยสำนักงานการบินพลเรือนได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุม ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2568 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน รวมถึงสนามบินและจุดสำคัญทั่วประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการใช้โดรน โดยที่ประชุม สมช. มีมติเห็นชอบมาตรการ 2 ส่วน ได้แก่

1. มาตรการระยะเร่งด่วน โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การท่าอากาศยาน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เหล่าทัพ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานด้านความมั่นคง สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการป้องกัน การสืบสวนสอบสวน และการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโดรนเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยง

อีกทั้ง ที่ประชุมยังมีมติให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการอนุญาตการนำเข้าโดรนสำหรับหน่วยงานที่จำเป็น พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบนำโดรนเข้าพื้นที่ชายแดนและพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงย้ำว่าการใช้โดรนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ด้านความมั่นคงและสนามบิน ถือเป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรง จำเป็นต้องสื่อสารให้ประชาชนและทุกภาคส่วนรับทราบอย่างชัดเจน

2. มาตรการระยะยาว ที่ประชุม สมช. ได้มอบหมายให้กองทัพอากาศเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วย เพื่อให้เกิดเอกภาพ โดยให้จัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจ เบื้องต้นใช้ชื่อว่า “ศูนย์บริหารจัดการควบคุมต่อต้านอากาศยานไม่มีคนขับแห่งชาติ” ควบคู่กับการเตรียมพิจารณาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในอนาคต และพิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโทษกรณีการใช้โดรนเป็นภัยต่อความมั่นคง

พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน เป็นการปฏิบัติร่วมภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับของกองทัพอากาศ ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นวงใน วงกลาง และวงนอก โดยวงใน เรียกว่า “ไข่แดง” เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะเป็นกองทัพอากาศ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด ส่วนวงนอกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียกว่า “ไข่ขาว” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเป็นผู้รับมติที่ประชุมและนำไปปฏิบัติ โดยในส่วนนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดมาตรการและแผนปฏิบัติ หรือยุทธศาสตร์เรื่องการป้องกันปราบปราม การสืบสวน สอบสวนและการยกระดับความมั่นคงในระยะสั้น และระยะยาวไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในการดำเนินการและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ใช้รูปแบบการดูแลพื้นที่สนามบินของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสนามบินจังหวัดนครราชสีมาเป็นต้นแบบ และได้ออกแผนเผชิญเหตุไว้ ส่วนในวงนอกจะเป็นของกองทัพบกซึ่งมีผู้ปฏิบัติอย่างชัดเจน

ส่วนข้อมูลที่ได้รับว่าโดรนที่พบเข้าข่ายเป็นการก่อวินาศกรรมหรือไม่ เป็นข้อมูลที่จะต้องนำมาดูร่วมกันระหว่างฝ่ายความมั่นคง และรายงานต่อศูนย์ปฏิบัติการกองทัพอากาศ (ศปก.ทอ.) ส่วนจะเข้าข่ายการก่อวินาศกรรมหรือไม่ จากข้อมูลที่ได้ทราบว่าเป็นการบินเข้ามาและผ่านไป ซึ่งจะต้องไปดูพฤติกรรมที่เกิดขึ้น และต้องตั้ง สมมติฐาน รวมทั้งมีแผนในการป้องกันไว้ ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบสิ่งผิดปกติสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา หรือใช้แอปพลิเคชัน Flightradar24 เพื่อตรวจสอบเส้นทางอากาศยาน โดยใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพประกอบ ซึ่งจะช่วยแยกแยะได้ในระดับหนึ่ง แต่หากพบเห็นในพื้นที่ใด ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญต่อการตรวจสอบจุดขึ้นและเส้นทางการใช้งานโดรน ทั้งนี้ได้มีการกำหนดแผนรองรับสถานการณ์ก่อเหตุและมาตรการควบคุมการใช้อากาศยานที่ไม่พึงประสงค์ไว้เรียบร้อยแล้ว

ในด้านกฎหมายทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย้ำว่า การใช้โดรนในพื้นที่ห้ามบินหรือบริเวณสนามบิน
เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีโทษร้ายแรงสูงสุดถึงประหารชีวิต และหากการสอบสวนพบว่าเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวดความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต

สำหรับการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงภายหลังการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้มาจากความห่วงใยของอาเซียนต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งไทยขอขอบคุณมาเลเซียที่จัดการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการหารือในกรอบภูมิภาค ซึ่งตนเองได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า ไทยมีจุดยืนชัดเจนต่อสันติภาพอย่างที่ไทยเคยช่วยฟื้นฟูสันติภาพให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เราปรารถนาดีกับเพื่อนบ้าน และตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไทยพยายามแก้ไขโดยกรอบทวิภาคี แต่ฝ่ายกัมพูชาพยายามนำประเด็นนี้ไปสู่กรอบสหประชาชาติแทนที่จะแก้ปัญหา 2 ฝ่าย  ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหา แม้กระทั่งการปล่อยคลิปเสียงระหว่างการหารือเป็นการแก้ไขปัญหาหรือเพื่อบั่นทอนรัฐบาลไทยในขณะนั้น เราจึงเห็นว่าความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นสำคัญ อย่างที่ได้ทำข้อตกลงหยุดยิง ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับกัมพูชา (Joint Declaration) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 แสดงให้เห็นว่าเราอยากเห็นสันติภาพที่แท้จริง

นายสีหศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ข้อตกลงที่ไทยทำร่วมกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เป็นเส้นทางไปสู่สันติภาพ แต่กัมพูชาต้องปฏิบัติตาม ทุกข้อกำหนดทั้ง 1. การลดอาวุธ ลดกำลังทหาร 2. เก็บกู้ทุ่นระเบิด 3. อาชญากรรมบริเวณชายแดนรวมถึงสแกมเมอร์ต่าง ๆ และ 4. การบริหารจัดการเรื่องการรุกล้ำ ซึ่งทั้ง 4 ข้อ เป็นเรื่องสำคัญมากโดยเฉพาะการเก็บกู้ทุ่นระเบิด สำคัญสำหรับประเทศไทย เพราะเกิดเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ทำให้ทหารไทยต้องสูญเสียขาในช่วงการทำถ้อยแถลงฯ ไปถึง 6 ครั้ง และเมื่อลงนามไปแล้ว ก็เกิดเหตุอีกจนถึงปัจจุบันทหารไทยต้องสูญเสียขาไปแล้วถึง 8 ครั้ง สำหรับคนไทยเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และเราต้องหาเหตุผลอธิบายคนไทยว่าทำไมจึงเกิดเหตุนี้ ซึ่งยังไม่ได้รับคำตอบจากฝ่ายกัมพูชาที่ชัดเจน

ส่วนเรื่องการหยุดยิงที่ฝ่ายกัมพูชาพูดกับทุกฝ่ายแต่ไม่เคยพูดกับไทยเลย แล้วจะเดินหน้าต่ออย่างไร   เพราะการหยุดยิง ไม่ได้มาด้วยการประกาศ และในการประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องข้อตกลงในการหยุดยิง โดยเสนอให้ทหาร 2 ฝ่ายได้หารือกัน ซึ่งกัมพูชายอมรับที่จะจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา และเห็นด้วยที่จะประชุมในวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อหารือกันในขั้นตอนต่าง ๆ ในการหยุดยิงที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการประกาศ และขอย้ำว่าการเจรจาของไทยเพื่อปกป้องอธิปไตย ศักดิ์ศรีและบูรณภาพแห่งดินแดน

นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ตราด และสระแก้ว ดังนี้ กรณีลูกหนี้เสียชีวิตหรือเป็นบุคคลสาบสูญ หากมีหนี้เงินกู้ที่ใช้บุคคลค้ำประกัน จะยกหนี้ทั้งจำนวนทุกสัญญา กรณีมีหลักประกันจำนอง ยกดอกเบี้ยปรับและดอกเบี้ยค้างรับทั้งจำนวน และกรณีใช้หลักประกันร่วมกัน ยกหนี้ตามสัดส่วนของหลักประกัน หรือ กรณีครอบครัวของลูกหนี้ ได้แก่ คู่สมรส หรือบุตรตามกฎหมาย หากเสียชีวิตหรือเป็นบุคคลสาบสูญ ยกดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน และลดดอกเบี้ยค้างรับร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยทั้งหมด ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ อีกทั้ง ยังช่วยดูแลหนี้สินเดิมผ่านมาตรการขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปเป็นระยะเวลา 1 ปี หรือไม่เกิน 12 เดือน ทั้งนี้ หนี้ดังกล่าวต้องเป็นสัญญาเงินกู้ที่มียอดเงินต้นคงสถานะหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน โดยสามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ ธ.ก.ส. สาขาในพื้นที่ ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 31 มกราคม 2569

ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนเงินทุนในการช่วยเหลือให้กับเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวผ่านมาตรการเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ ในการนำไปสร้างหรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โรงเรือนการเกษตร เครื่องมือ เครื่องจักรกลการเกษตร รวมถึงการฟื้นฟูการผลิตที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ ประกอบด้วย 1. โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือนแรก เดือนที่ 7 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.625%) วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท 2. โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นค่าลงทุนในการซ่อมแซมบ้านเรือนและทรัพย์สินค่าซ่อมเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ รวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในการทำการเกษตรรอบใหม่ วงเงินรายละไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR-2

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายแพทย์ เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขยังเฝ้าระวังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ใน 7 จังหวัดอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพรวมโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงกลับมาเปิดให้บริการ ได้บางส่วน คงเหลือปิดบริการ 10 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โรงพยาบาลกันทรลักษ์ โรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โรงพยาบาลกาบเชิง โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสุรินทร์ โรงพยาบาลบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ โรงพยาบาลตาพระยา โรงพยาบาลโคกสูง โรงพยาบาลคลองหาด และ โรงพยาบาลอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ส่วน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ยังปิด 180 แห่ง

สำหรับศูนย์พักพิงลดลงเหลือ 848 จุด มีผู้เข้าพักรวม 167,395 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 52,549 คน ยังต้องเน้นเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคและปรับปรุงอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ ยังเร่งสำรวจเด็กอายุ 9 เดือน – ต่ำกว่า 5 ปี ในศูนย์พักพิง เพื่อทำทะเบียนเด็กที่ไม่มีประวัติหรือไม่มีหลักฐานการได้รับวัคซีน และจัดให้ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและครอบคลุม ในส่วนการดูแลด้านสุขภาพจิตมีการคัดกรองเชิงรุกต่อเนื่องมีประชาชน 204,058 ราย พบเครียดสูงสะสม 1,494 ราย และเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 286 ราย บุคลากรทางการแพทย์ 10,517 ราย พบเครียดสูงสะสม 595 ราย เสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 184 ราย ทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาล ทางจิตใจ และมีการติดตามผู้ที่มีความเครียดสูงและเสี่ยงทำร้ายตัวเองจนกว่าอาการจะดีขึ้นเป็นปกติ รวมทั้งมีการติดตามดูแลสุขภาพจิตครอบครัวและญาติของทหารที่สละชีพทุกรายอย่างใกล้ชิด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง