ประชุม GBC คืบหน้า กำหนดข้อยุติร่วมกัน นำผลหารือฝ่ายเลขาฯ เข้าประชุมรัฐมนตรีกลาโหมสองประเทศ 27 ธ.ค. 68

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงรับผู้เสียชีวิตไว้เป็นศพในพระบรมราชานุเคราะห์ พร้อมกันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้แทน เชิญดอกไม้ และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน ไปมอบแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพวงมาลาของพระบรมวงศานุวงศ์ ไปวางที่หน้าหีบศพของผู้เสียชีวิต เพื่อแสดงความอาลัยและพระเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้

ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานความช่วยเหลือแก่ครอบครัวกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และให้พิจารณาสิทธิพิเศษเพิ่มเติมแก่กำลังพลและครอบครัว รวมถึงพระราชทานความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ กำลังพลกองทัพไทย ตลอดจนพสกนิกรชาวไทย ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ และพร้อมน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสัตย์ปฏิญาณ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี เพื่อปกป้องอธิปไตย ความสงบสุข และความผาสุกของประเทศชาติสืบไป

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ภายหลังมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา ระดับเลขานุการระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชาที่จังหวัดจันทบุรี ว่า การประชุมเพิ่งเริ่มกระบวนการ ซึ่งเรื่องความปลอดภัยของสถานที่จัดการประชุมจัดขึ้นที่บริเวณเขตแดน โดยต่างคนต่างมีท่าทีที่ดี และสถานที่จัดการประชุมทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ซึ่งไทยยืนยันว่าไม่ไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พยายามให้เหตุผลตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่าเป็นปัญหาในระดับทวิภาคี หากไม่มีมีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนทวิภาคี คือไทยและกัมพูชาคุยกันแค่ 2 ประเทศ ส่วนความคาดหวังกับผลการประชุมไว้อย่างไร ขอให้รอผลการประชุมออกมาก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ฟังข้อเสนอฝั่งไทยจากตัวแทนที่ไปประชุม ส่วนขั้นตอนและวิธีเจรจาต้องให้เป็นเรื่องของหน้างาน อย่างไรก็ตามหากการประชุมเสร็จสิ้นก็ต้องยึดตามผลของการประชุมที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทั้ง 2 ฝ่าย หากการเจรจาเรียบร้อย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทั้งสองฝ่ายจะเดินทางไปลงนาม ในวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ซึ่งหวังว่าหากการลงนามในครั้งนี้เกิดขึ้น ประเทศกัมพูชาจะรักษาสัญญาจะได้ไม่ต้องมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นมาอีก

สำหรับกรณีที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย ออกแถลงการณ์ตำหนิกรณีกองทัพไทย รื้อถอนรูปปั้นเทพเจ้าฮินดู (นักรบแปดมือ) ในพื้นที่ช่องอานม้าเป็นการกระทำที่ไม่เคารพ และทำร้ายความรู้สึกของผู้ศรัทธา เนื่องจากมองว่าเป็นพระวิษณุ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รูปปั้นดังกล่าวหากเทียบกับชีวิตทหาร อวัยวะ แขนขาขาดก็ขอให้คิดต่อกันเอง รูปปั้นที่ถูกทำลาย หากเทียบกับขาทุกขาที่ทหารเราเสียไป ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับเรื่องการลบหลู่ได้

ส่วนการประชุม GBC ที่ได้เริ่มประชุมเป็นวันที่ 2 ตั้งแต่ช่วงเช้าและมีการนำเสนอข้อเสนอของแต่ละฝ่าย และนำกลับไปหารือกับฝ่ายตนเอง และเดินทางกลับมาหารือกันเพิ่มเติม โดยในการหารือรอบสุดท้ายของวัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขาฯ GBC ฝ่ายกัมพูชา เต็มคณะเดินทางมายังจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ในการประชุมครั้งนี้ยังมีคณะ AOT มาเลเซีย ประจำประเทศไทย ร่วมสังเกตการณ์ต่อเนื่อง ขณะที่ ผู้แทนฝ่ายไทยนำโดย พล.อ.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะประธานเลขานุการ GBC ฝ่ายไทย ให้การต้อนรับ ผู้แทนฝ่ายกัมพูชานำโดย พล.ต.แญม โบราเดน ในฐานะประธานเลขานุการคณะกรรมการ GBC ฝ่ายกัมพูชา เพื่อร่วมหารือกันต่อ ในข้อเสนอ 3 ข้อ ที่ไทยยืนยันจุดยืน และกัมพูชา ยังไม่เห็นพ้อง คือ 1. ฝ่ายกัมพูชาจะต้องประกาศหยุดยิงก่อน 2. การหยุดยิงจะต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และ 3. ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุนระเบิดอย่างจริงจังและจริงใจ

หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.อ.ณัฐพงษ์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความคืบหน้าเนื่องจากมีการปรับปรุงร่างข้อตกลง ซึ่งอยู่ในลำดับร่างปรับแก้ครั้งที่ 3 โดยทางฝ่ายกัมพูชารับทราบ ส่วนฝ่ายไทยได้มีการอธิบายในแต่ละรายละเอียดที่ไทยได้แสดงจุดยืน มีข้อความใดที่กัมพูชาเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในขณะเดียวกันฝ่ายกัมพูชาได้เสนอในส่วนของตนเอง และในวันที่ 26 ธันวาคม 2568 จะมีการพิจารณาต่อในร่างข้อตกลงที่ปรับแก้ไขครั้งที่ 4 ส่วนจะมีประเด็นใดในร่างข้อตกลงที่ทำให้ต้องมีการปรับแก้ ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้

พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า การประชุม GBC บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี ในครั้งนี้ จะมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) ของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อแสดงความโปร่งใสให้คณะ AOT ได้ทราบขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่หนังสือที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาส่งมาถึงกระทรวงกลาโหมไทย แม้ว่าในตัวหนังสือไม่ได้ระบุโดยตรงว่าเกี่ยวกับการหยุดยิง แต่ก็มีนัยว่าฝ่ายกัมพูชาประสงค์ให้หยุดยิง แต่ต้องไปพูดคุยในการประชุม GBC ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าหนังสือดังกล่าว ระบุว่าต้องการให้ทั้งสองฝ่ายกลับไปอยู่ในที่ตั้งก่อนเกิดเหตุการณ์ปะทะครั้งที่ 2 หรือไม่ ยอมรับว่าในตัวหนังสือมีนัยเช่นนั้น ซึ่งฝ่ายเลขาของ GBC กำลังพูดคุยกันและต้องรอให้ได้ข้อสรุปก่อน ทั้งนี้แม้ในปัจจุบัน สถานการณ์การปะทะระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย จะเบาบางลง แต่กองทัพไทยก็ยังคงความระมัดระวังไว้ เนื่องจากมีบทเรียนจากการปะทะครั้งที่ผ่านมาว่า ไม่สามารถเชื่อใจและไว้ใจกัมพูชาได้ อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าหลังการประชุม GBC ครั้งนี้เสร็จสิ้นทุกอย่างจะกลับมาสู่สภาวะปกติได้เร็วที่สุด ทั้งนี้ความสำเร็จของการประชุมจะเกิดขึ้นได้อยู่ที่กัมพูชา เพราะกัมพูชาเป็นคนริเริ่มสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา ถ้าจะยุติให้ได้ความสำเร็จกัมพูชาต้องเป็นผู้ยุติทุกอย่าง ทั้งหยุดยิง ความจริงใจในการดำเนินการการแสดงออกที่ไม่เพียงวาจาแต่ต้องแสดงออกด้วยการกระทำด้วย โดยเฉพาะเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยืนยันว่าการประชุมเป็นไปตามกลไก เป็นการพูดคุยกันตลอดขณะนี้อยู่ระหว่างการตกลงเนื้อหาที่จะเป็นประเด็นร่วมกัน และให้ได้ข้อยุติร่วมกัน

สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า
แม้จะมีการประชุม GBC แต่ตั้งแต่ช่วงเช้าหลังการประชุมวันแรก ฝ่ายกัมพูชายังคงยิงจรวดหลายลำกล้อง  BM-21 เข้าใส่พื้นที่ฝ่ายไทย บริเวณบ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายหลายหลังคาเรือน 

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 แสดงความเสียใจ จากเหตุการณ์กำลังพลเหยียบทุ่นระเบิด บริเวณปราสาทตาควาย ซึ่งฝ่ายไทยได้เข้ายึดพื้นที่ได้ตั้งแต่ วันที่ 16 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเสริมความมั่นคง ทำการกวาดล้างและตรวจค้นทุ่นระเบิดซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยในเวลา 14.25 น. วันที่ 25 ธันวาคม 2568 ชุดทหารช่าง สังกัดกองพันทหารราบที่ 22 หน่วยเฉพาะกิจ ที่ 2 ได้กวาดล้างทุ่นระเบิดบริเวณรอบปราสาท ขณะที่ชุดปฏิบัติการกำลังตรวจค้น ได้เกิดเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ส่งผลให้มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ 2 นาย คือ ส.อ.นิติธรรม ศรีคำแซง ได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณขาข้างซ้าย และ จ.ส.อ.อำนาจ ทัศสมบัติ มีอาการแน่นหน้าอกและหูอื้อ จากแรงอัด โดยชุดเสนารักษ์ได้ปฐมพยาบาลให้กับผู้บาดเจ็บทั้ง 2 นาย ปัจจุบันได้เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บส่งเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลใกล้เคียง

พันตรีหญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า แม้การปะทะระหว่างทั้งสองฝ่ายจะเริ่มเบาบางลงแล้ว แต่พื้นที่ของกองทัพภาคที่ 2 ฝ่ายกัมพูชายังคงโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องบริเวณภูมะเขือและห้วยตามาเรีย แต่ทหารไทยยังคงวางกำลังและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ซึ่งทหารไทยสามารถเข้าควบคุมพื้นที่เนิน 225 ใกล้ปราสาทตาควาย ได้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 ทหารไทยยังคงควบคุมพื้นที่บ้านคลองแผง และบ้านหนองหญ้าแก้ว ขณะที่บริเวณบ้านหนองจาน ยังควบคุมได้เพียงบางส่วน โดยภาพรวมความเสียหายตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ถึงปัจจุบันมีพื้นที่กระสุนตกไม่น้อยกว่า 150 แห่ง บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างของประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 190 หลังคาเรือน สถานพยาบาล 1 แห่ง ศาสนสถาน 5 แห่ง และสถานศึกษา 2 แห่ง ซึ่งประเทศไทยได้ประณามถึงการกระทำดังกล่าวต่อนานาชาติ แต่กัมพูชาก็ยังคงดำเนินการอยู่เช่นเดิม แสดงให้เห็นเจตนาของฝ่ายกัมพูชาที่ไม่ได้โจมตีเฉพาะทหารไทยเท่านั้น แต่ยังโจมตีพื้นที่พลเรือนด้วย

ส่วนผลกระทบต่อภาคประชาชนของไทยในขณะนี้ มีผู้ที่อพยพมาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้งสิ้น 136,728 คน ศูนย์พักพิงจำนวน 744 จุด มีประชาชนที่เสียชีวิตจากการโจมตีของกัมพูชาโดยตรง 1 ราย มีประชาชนที่เสียชีวิตจากผลกระทบทางอ้อมของเหตุการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา 42 ราย มีประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของกัมพูชา 13 ราย โรงพยาบาลได้รับผลกระทบ 18 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ได้รับผลกระทบ 240 แห่ง

ทั้งนี้ในวันที่ 26 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป จังหวัดสระแก้ว พร้อมอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอรับการเยียวยาผู้ประสบภัย กรณีภัยจากกองกำลังภายนอกประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา สำหรับประชาชนใน 4 พื้นที่ คือ อำเภอคลองหาด โคกสูง ตาพระยา และอรัญประเทศ

ขณะที่นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงแนวทางดำเนินการเชิงรุกของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา โดยวันที่ 24 ธันวาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก เพื่อติดตามพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมมอบนโยบายการสื่อสารเชิงรุกในทุกระดับ ทั้งต่อภาครัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชนของแต่ละประเทศ ให้ได้รับการชี้แจงท่าทีของไทยในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับเหล่าทัพ เพื่อรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อเสนอต่อองค์การระหว่างประเทศ เช่น การส่งหนังสือถึงประธานรัฐภาคีการประชุมอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 23 ในเรื่องของทุ่นระเบิด และส่งหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ พร้อมย้ำว่า ไทยยังคงมีความจำเป็นที่ต้องรวบรวมหลักฐาน โดยเฉพาะเรื่องทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา เพื่อชี้แจงต่อประชาคมโลก ส่วนกรณีที่กระทรวงต่างประเทศอินเดีย ตำหนิที่ทางการไทยทำลายรูปเคารพเทพเจ้าศาสนาฮินดู ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา นั้น จะมีการออกแถลงการณ์ชี้แจงว่าการดำเนินการดังกล่าว เป็นการบริหารจัดการพื้นที่ และไม่ได้มีเจตนาที่จะทำลายสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนถึงความเชื่อถือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เคารพในทุกศาสนาและทุกความเชื่อ ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าคนไทยในกัมพูชาถูกรีดไถเงินรายละ 10,000 บาท ระหว่างเดินทางไปท่าอากาศยานนั้น มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ทราบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งด่านตลอดระยะถนน เพื่อตรวจทุกคนที่เดินทางไปท่าอากาศยานจริง ไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีการเรียกเก็บค่าผ่านทางตามที่ปรากฏในข่าวจริงหรือไม่ พลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมาตรการป้องกันภัยคุกคามจากอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) โดยจากสถานการณ์พื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งแต่วันที่ 20-23 ธันวาคม 2568 พบโดรนบินในพื้นที่ใกล้เคียงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิหลายครั้ง ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง อยู่ในการเฝ้าระวังเข้มข้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับยุทธศาสตร์ 3 เสาหลัก เน้นการป้องกัน บังคับใช้กฎ No-Fly Zone หรือ เขตห้ามบินโดรน การสืบสวน และความมั่นคง ใช้โมเดล “สังเกต-คัดกรอง-รายงาน” ใช้แอปพลิเคชันคัดกรองวัตถุ แล้วรายงาน “ศูนย์โดรนนครบาล” ทันที เพื่อประสานชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าสกัดกั้น รวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และการอนุญาตบินจากสำนักงานการบินพลเรือน
แห่งประเทศไทย (กพท.) เพื่อคัดกรองประเภทของโดรน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง