นางสาวปรียานุช ทิพยะวัฒน์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากกรณีลำไยสดของไทยถูกสาธารณรัฐประชาชนจีนปฏิเสธการนำเข้า เนื่องจากตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินค่ามาตรฐาน ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออกต้องนำตู้ลำไยส่งกลับประเทศไทยจำนวน 38 ตู้ ปริมาณรวมกว่า 950 ตัน สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเกษตรกรผู้ปลูกลำไยอย่างมาก
ทั้งนี้ นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้สั่งการให้รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช และสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร เพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมถึงตรวจเยี่ยมและให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 และด่านตรวจพืชจังหวัดจันทบุรี ในการดำเนินมาตรการ “คุมเข้มลำไยคุณภาพ สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่พบศัตรูพืชกักกัน และความยาวก้านไม่เกิน 15 เซนติเมตร”
รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้เน้นย้ำแนวทางการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบายกรมวิชาการเกษตร เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพลำไยให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าพืชส่งออก ตามพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งให้สอดคล้องกับเงื่อนไขประเทศปลายทาง โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนกำหนดให้ลำไยสดจากประเทศไทยทุกชิปเมนต์ต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืช (Health Certificate) และมีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
ด้านนายชณาดลย์ สัตธณภัทร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 เปิดเผยว่า หน่วยงานในพื้นที่ภาคตะวันออกได้ดำเนินการเชิงรุก โดยจัดประชุมชี้แจงแนวทางการตรวจติดตามโรงคัดบรรจุลำไย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ และได้จัดชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจ 7 ทีม รวมกว่า 65 นาย ลงพื้นที่ตรวจติดตามและควบคุมการรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ของผู้ประกอบการ ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา
การดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายควบคุมคุณภาพลำไยส่งออกฤดูกาลผลิตปี 2568/2569 ให้เป็นไปตามมาตรฐาน ลดความเสี่ยงการถูกแจ้งเตือนและตีกลับสินค้า พร้อมยกระดับความน่าเชื่อถือของลำไยไทยในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีนซึ่งเป็นช่วงที่มีการส่งออกลำไยมากที่สุดของจังหวัดจันทบุรี








