“สีหศักดิ์” ประชุม 3 ฝ่าย ไทย-กัมพูชา-จีน หลังข้อตกลงหยุดยิง กองทัพเรือ และกองทัพภาคที่ 2 ประกาศให้ประชาชนกลับภูมิลำเนาได้ตามปกติ

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พบหารือกับนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มณฑลยูนนาน เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ภายหลังข้อตกลงหยุดยิง โดยไทยขอบคุณจีนในบทบาทและความเข้าใจในการสนับสนุนสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาในแนวทางแบบเอเชีย ทั้งนี้ ไทยเห็นว่าการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อสร้างความเชื่อใจและความเชื่อมั่นระหว่างกัน ทั้งนี้ เมื่อครบ 72 ชั่วโมง ไทยจะพิจารณาปล่อยเชลยศึก 18 คน และหวังว่ากัมพูชาจะอำนวยความสะดวกในการให้คนไทยบริเวณชายแดนได้เดินทางกลับประเทศ

ฝ่ายจีนได้แสดงความยินดีต่อข้อตกลงหยุดยิงผ่านการหารือทวิภาคี โดยย้ำถึงความเคารพหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน และพร้อมเป็นช่องทางในการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่าง
ทั้งสองประเทศ

โดยนายสีหศักดิ์ ได้ประชุมเตรียมการกับคณะผู้แทนฝ่ายไทย และผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมด้วยแล้ว
เพื่อเข้าร่วมการประชุมสามฝ่ายระหว่างไทย กัมพูชา และจีน เกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังข้อตกลงหยุดยิง วันที่ 29 ธันวาคม 2568

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในการเดินทางเยือนจีน ของนายสีหศักดิ์ ในครั้งนี้ ซึ่งจะมีการประชุมสามฝ่ายโดยจะหารือในเรื่องการหยุดยิงและพัฒนาการของสถานการณ์ล่าสุด การหารือครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้ชี้แจงกับจีนอย่างชัดเจน ถึงเจตนารมณ์และการดำเนินการของไทยในระยะต่อไป

นอกจากนี้ประชาคมระหว่างประเทศ ต่างร่วมแสดงความยินดีต่อการที่ไทยและกัมพูชาสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิง หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย – กัมพูชา โดยทุกประเทศต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนจากการเจรจาหยุดยิงครั้งนี้ พร้อมย้ำว่า ขั้นตอนและกระบวนการหยุดยิงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามที่ฝ่ายไทยได้ยืนยันมาตั้งแต่ต้น ว่าการประกาศหยุดยิงเพียงฝ่ายเดียวไม่มีผลใดๆ หากฝ่ายทหารของทั้งสองประเทศไม่มีการพูดคุยและวางมาตรการร่วมกัน โดยในถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ยังคงเน้นย้ำประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลร่วมกัน และกระทรวงการต่างประเทศ จะยังคงรวบรวมหลักฐานต่างๆ ที่เกิดขึ้นล่าสุด เพื่อนำเสนอผ่านกลไกของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา ต่อไป ในฐานะรัฐภาคีที่มีความรับผิดชอบต่ออนุสัญญาดังกล่าว

ขณะที่สถานการณ์หลังจากมีประกาศหยุดยิง พันเอก ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกได้ติดตามสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด โดยนับตั้งแต่เวลา 12.00 น. วันที่ 27 ธันวาคม 2568 ซึ่งมีข้อตกลงหยุดยิง ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด โดยไม่ประมาท และเฝ้าติดตามสถานการณ์ในทุกจุดตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในข้อที่ 4. ของถ้อยแถลงร่วม ที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถกลับสู่ที่อยู่อาศัยและได้ดำรงชีวิตตามปกติในพื้นที่ในเขตของฝ่ายตนนั้น กรณีที่ประชาชนฝ่ายกัมพูชา ที่เคยอาศัยในพื้นที่บ้านหนองจาน ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยควบคุม ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากแถลงการณ์ ระบุอย่างชัดเจนว่า การเดินทางกลับเข้าที่พักอาศัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย จะต้องอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันของแต่ละประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อ 2.ที่ระบุว่าพื้นที่ปัจจุบัน คือพื้นที่ที่ทหารวางกำลังไว้ ดังนั้น ในพื้นที่ที่ฝ่ายไทยได้ควบคุมไว้แล้วถือว่าเป็นเขตแดนของไทย ชาวกัมพูชาจึงไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามายังพื้นที่ดังกล่าวได้อีก

กองทัพภาคที่ 2 ประกาศสถานการณ์ จากเหตุการณ์การสู้รบที่ผ่านมาขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว จึงแจ้งประชาชนสามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา และที่พักอาศัยได้ตามปกติ โดยขอให้ใช้ความระมัดระวัง และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ยังคงปฏิบัติภารกิจด้วยความมุ่งมั่นและเต็มกำลัง ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ รวมถึงดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง ขณะที่กองทัพบก แจ้งเตือนประชาชนหากพบเห็นสิ่งผิดปกติในพื้นที่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พบวัตถุระเบิด หรือวัตถุต้องสงสัย อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนที่บินแบบผิดสังเกต การบุกรุกพื้นที่ของคนต่างด้าว หรือกองกำลังติดอาวุธบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาเป็นสายลับสอดแนมในพื้นที่ สามารถแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่รัฐได้ทันที

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้ร่วมกับฝ่ายปกครอง ประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคงและความปลอดภัยในพื้นที่อย่างรอบด้าน และพิจารณาอนุญาตให้ประชาชนสามารถเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
โดย กปช.จต. ยังคงมีการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ กองทัพเรือจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเฝ้าระวัง 72 ชั่วโมง ภายหลังการหยุดยิง

ส่วนกองทัพภาคที่ 1 รายงานว่า กองกำลังบูรพา และจังหวัดสระแก้ว ได้หารือกำหนดแนวทางการอพยพประชาชน ใน 4 อำเภอชายแดน จังหวัดสระแก้ว กลับเข้าที่พักอาศัยของตน ภายหลังสถานการณ์คลี่คลายโดยคำนึงถึงบริบทพื้นที่และความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยสามารถกลับเข้าพื้นที่พักอาศัยของตนเองได้ ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ยกเว้น 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านคลองแผง บ้านตาพระยา บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน เพื่อให้ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ลงพื้นที่ตรวจสอบและเคลียร์พื้นที่ก่อนประชาชนเดินทางกลับ โดยจะแจ้งให้ทราบห้วงต่อไป ขอให้รับฟังข่าวสารและการแจ้งประกาศจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ

ด้านจังหวัดสุรินทร์ ได้ประกาศแจ้งให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป โดยมีข้อปฏิบัติและคำแนะนำสำคัญ ดังนี้

1. เดินทางด้วยความระมัดระวัง ขอให้ทยอยเดินทาง ไม่ต้องรีบเร่ง เพื่อลดการจราจรติดขัดและอุบัติเหตุ

2. กลับตามความสมัครใจ ผู้ที่ยังไม่มั่นใจ หรือยังไม่ประสงค์จะกลับ สามารถพักที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวต่อได้

3. เตรียมรับการเยียวยา ภาครัฐกำลังเร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่ เพื่อดำเนินการเยียวยาตามระเบียบราชการโดยเร็วที่สุด

4. ความปลอดภัยต้องมาก่อน หากพบเห็นวัตถุต้องสงสัยหรือระเบิดตกค้าง ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ให้รีบแจ้งฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่เข้าเก็บกู้ทันที

5. ติดตามข่าวสารต่อเนื่อง หากมีเหตุฉุกเฉินเพิ่มเติม จะมีระบบแจ้งเตือนภัยทันที เพื่อให้อพยพกลับ
สู่พื้นที่ปลอดภัยได้ทันเวลา

พลอากาศเอก ประภาส  สอนใจดี ผู้อำนวยศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวว่า จะดำเนินการตามมาตรการหยุดยิง และกลับมาดำเนินการต่างๆ ร่วมกัน ตามที่ได้ลงนามในถ้อยแถลงร่วมเพื่อเปลี่ยนท่าทีจากการสู้รบและการยั่วยุกัน ไปสู่การใช้เวทีทางการทูตและกลไกระหว่างประเทศเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดจะนำไปสู่การปฏิบัติโดยมีกลไกควบคุมและมีการตรวจสอบ โดยเฉพาะ กรณีที่มีการใช้อาวุธเกิดขึ้นหลังการหยุดยิง จะต้องมีการรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน เพื่อรายงานไปที่หน่วยงานระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ยืนยันว่าหากมีการใช้อาวุธทำอันตรายต่อประชาชนไทย ไทยยังคงมีสิทธิ์ในการตอบโต้และป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ ส่วนกรณีที่มีเครื่องบินลำเลียงจากเบลารุส เที่ยวบินที่ IL-62 ที่เดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กองทัพอากาศได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตามเหตุการณ์ที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง โดยทุกหน่วยยังคงความพร้อมปฏิบัติการทันทีตลอด 24 ชั่วโมง หากเกิดสถานการณ์ที่เป็นภัยคุกคามต่อประชาชนและอธิปไตยของประเทศ และขอยืนยันให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า จากการข่าวในขณะนี้ยังไม่มีภัยคุกคามใดๆ เกิดขึ้น จึงขอให้อย่าลือและวิตกกังวลกันไปก่อน เนื่องจากขณะนี้บรรยากาศกำลังเข้าสู่ช่วงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และนำไปสู่สันติสุขที่ยั่งยืนของประชาชนทั้งสองประเทศ

ส่วนด้านการช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การสู้รบไทย-กัมพูชา พบว่า ส่วนใหญ่เริ่มมีความเครียดสูง วิตกกังวล เนื่องจากขาดรายได้ เป็นห่วงบ้าน จึงได้สั่งการให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดโครงการฝึกอาชีพ โดยได้เริ่มดำเนินการแล้ว ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด โดยจัดหลักสูตรฝึกอบรม จำนวน 7 หลักสูตร คือ การประกอบอาหารจานด่วน ผลิตภัณฑ์จักสานจากเส้นพลาสติก การทำไม้กวาด การประกอบอาหารว่างและเครื่องดื่ม การทำยาดม ยาหม่องสมุนไพร การทำแคบหมูน้ำพริก และการแปรรูปอาหารต่างๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้ กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินการจัดจำหน่ายโดยผ่านช่องทางของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัด เครือข่ายออนไลน์ และภาคเอกชนที่ทำงานร่วมกับกระทรวงแรงงาน โดยการฝึกอบรมทุกอย่างไม่มีค่าใช้จ่าย

ขณะที่ ทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดสุรินทร์ ยังคงช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา ในศูนย์พักพิงชั่วคราวอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นภารกิจเชิงรุกในการเยียวยาสภาพจิตใจ ด้วยงานสันทนาการเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างวัย (เด็กและผู้สูงอายุ) ผ่านกิจกรรมบูรณาการเด็กและผู้สูงอายุ โดยให้ทั้งสองวัยทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน โดยเฉพาะกิจกรรมนันทนาการ และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งยังให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องสิทธิสวัสดิการสังคมของกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดวงพูดคุยเพื่อแจ้งสิทธิสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง คัดกรองกลุ่มเปราะบางและสอบข้อเท็จจริงเข้าระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ (MSO-LOGBOOK) กระทรวง พม. ซึ่งเป็นฐานข้อมูลครัวเรือนเปราะบางเพื่อให้ความช่วยเหลือเรื่องสิทธิสวัสดิการสังคมของรัฐ และระบบการขอรับการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (พม. Smart)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง