วัดใจ ภายใต้กฎ “72 ชั่วโมง”จับสัญญาณสันติภาพ “ไทย-กัมพูชา”

ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีไทยก่อน จนนำมาสู่ความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ทั้งทหารและพลเรือน ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 3 ที่ จังหวัดจันทบุรี ทั้งสองฝ่ายมีมติร่วมกัน คือ หยุดยิงพร้อมกันตั้งแต่เวลา 12.00 น. ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.68 ที่ผ่านมา และให้ทั้งสองฝ่าย คงกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน ไม่มีการเคลื่อนย้ายหรือเสริมกำลัง ห้ามโจมตี ยั่วยุ หรือคุกคามซึ่งกันและกัน และให้ติดตามสถานการณ์อย่างน้อย 72 ชั่วโมง เพื่อยืนยันว่า การหยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง

ทั้งนี้ในการประชุม ได้มีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT นำโดย พลจัตวา ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย หัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ประจำประเทศไทย ร่วมติดตามการประชุมครั้งนี้ด้วย

สำหรับข้อตกลงหยุดยิง “72 ชั่วโมง” หากจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง ไม่ได้มีข้อผูกมัดใดๆ แต่ถือเป็น “ระยะเวลาพิสูจน์ความจริงใจ” ของฝ่ายกัมพูชา ว่าจะมีการละเมิดหรือไม่ ซึ่งหากภายในระยะเวลา “72 ชั่วโมง” นี้ หากไม่มีการปะทะเกิดขึ้น จะถือว่า การหยุดยิงมีผลสมบูรณ์ และทำให้สองฝ่ายสามารถเจราจาเพื่อจะนำไปสู่ขั้นตอนต่อไป ทั้งการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย หรือการถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อน ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิในการครอบครอง

พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์ ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า การตกลงหยุดยิง “72 ชั่วโมง” ถือเป็นตัวเลขที่เหมาะสมและเป็นระดับมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกใช้กัน แต่ทั้งนี้ไทยพร้อมที่จะตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ตามกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 51 หากฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงและมีการโจมตีไทยก่อน

สำหรับข้อตกลงในการหยุดยิง ถูกนำมาใช้ในสมรภูมิความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกและระยะเวลาในการตกลงหยุดยิง “72 ชั่วโมง”ได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นจุดสมดุล ที่จะเห็นรูปแบบการปฏิบัติจริง และเป็นเวลาที่ไม่สั้นหรือยาวมากเกินไป จนเสี่ยงต่อแรงกดดันการเมืองภายในของทั้ง 2 ประเทศ

ตัวอย่างของการตกลงหยุดยิง “72 ชั่วโมง” ที่ถูกนำมาใช้ เช่น สงคราม “ยูเครน-รัสเซีย” ที่ใช้การหยุดยิงระยะสั้น 24-72 ชั่วโมง เพื่อภารกิจมนุษยธรรมและทดสอบความจริงใจ เมื่อมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่มีการละเมิดข้อตกลง ก็จะถูกบันทึกและใช้เป็นหลักฐานทางการทูตและถูกกดดันในเวทีระหว่างประเทศ

สงคราม “อิสราเอล-กาซา” ก็มีการตกลงพักรบชั่วคราว (Humanitarian pauses) เพื่อเปิดทางผู้อพยพและส่งความช่วยเหลือ แม้จะไม่ใช่การยุติสงคราม แต่ลดความสูญเสียพลเรือน และสร้างแรงกดดันทางการเมือง รวมทั้งสงครามภายในประเทศซีเรีย ที่เคยใช้การหยุดยิงสั้นๆ ภายใต้การกำกับของนานาชาติ เพื่อลดความสูญเสียกำลังพลของคู่ขัดแย้ง และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เช่นกัน

ข้อตกลงหยุดยิง “72 ชั่วโมง” สำหรับไทย-กัมพูชา ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพื่อปูทางไปสู่สันติภาพอย่างแท้จริงและยั่งยืน

แต่ล่าสุด (29 ธ.ค.68) ได้เกิดเหตุทหารชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดจากกองร้อยทหารช่าง ที่ไปสมทบกับกองกำลังสุรนารี เหยียบทุ่นระเบิดขณะปฏิบัติภารกิจเคลียร์พื้นที่ “สัตตะโสม” ที่ยึดคืนมาได้ ในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และนับเป็นทหารไทยรายที่ 11 ที่ต้องสูญเสียขา จากทุ่นระบิดที่กัมพูชาได้วางไว้

และจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ จะต้องเร่งพิสูจน์ว่า ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบไปนั้น เป็นทุ่นระเบิดที่ตกค้างเดิม หรือเป็นการลักลอบวางใหม่หลังข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งหากเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่ลักลอบวางหลังข้อตกลงหยุดยิง ถือว่าฝ่ายกัมพูชาจงใจละเมิดข้อตกลงโดยชัดแจ้งและหากเป็นเช่นนั้นจริง ไทยก็มีความชอบธรรมที่จะตอบโต้เพื่อปกต้องตนเอง

ขณะที่กองทัพไทย ประกาศเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะจากสถานการณ์และพฤติกรรมของฝ่ายกัมพูชาที่ผ่านมา มักจะละเมิดข้อตกลงอยู่บ่อยครั้ง จนนำมาสู่ความรุนแรงและกลายเป็นความขัดแย้งชายแดน ที่สร้างสูญเสียอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง