นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกำลังพลที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดน ณ ฐานปฏิบัติการ ที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อรับฟังสถานการณ์และสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ พร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวัน และสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ของกำลังพล ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังบริเวณปราสาทตาควาย ได้ทำความเคารพอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย และสักการะรูปปั้นพระใหญ่ที่ฐานปราสาท นายกรัฐมนตรีได้พบและพูดคุยกับหลวงตาเยื้อน วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้สะท้อนข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ของกำลังพล รวมถึงการพัฒนาถนนขึ้นสู่ปราสาทตาควาย เนื่องจากเส้นทางเดิมมีสภาพชำรุดจากการใช้งานมาเป็นเวลานาน และยังตรวจพื้นที่และทักทายให้กำลังใจกำลังพลที่ประจำการอยู่บริเวณปราสาทตาควาย พร้อมกล่าวว่า ปราสาทตาควาย ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่ได้พื้นที่คืน จากนั้น ได้เดินทางไปยังเนิน 350 เพื่อให้กำลังใจกำลังพล โดยได้กล่าวขอบคุณและชื่มชมการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลทุกนายที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ กำชับให้ดูแลสุขภาพและความปลอดภัย พร้อมทั้ง ได้ตรวจดูจุดที่พบบรรจุภัณฑ์ทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 รวมทั้งดูจุดที่พบร่างทหาร 2 นาย ซึ่งในช่วงแรกยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายร่างออกจากพื้นที่ได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ยกมือไหว้แสดงความเคารพต่อการเสียสละของทหารผู้พลีชีพ ก่อนถ่ายภาพร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่บนเนิน 350
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พลทหารธนพัฒน์ นันทะวงศ์ ที่วัดเชือกนอก ตำบลนาจิก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งพลทหารธนพัฒน์ นันทะวงศ์ สังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสียและการเสียสละเพื่อแผ่นดินไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการลงนามในถ้อยแถลงหยุดยิง สถานการณ์ยังไม่มีอะไรผิดปกติ ตนเองรู้สึกเห็นใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ และเชื่อว่าประชาชนคนไทยทุกคนก็ซาบซึ้งและรู้สึกขอบคุณทหารทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดน ซึ่งจากที่ได้มีการพูดคุย ทหารทุกคนมีขวัญกำลังใจที่ดี ตนเองยืนยันถึงการดูแลเจ้าหน้าที่ทหารโดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการและสวัสดิภาพ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ได้ทำหน้าที่รักษาดินแดน และประเทศชาติ และจากการลงพื้นที่ปราสาทตาควาย สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ที่มีความเสียหายก็ค่อยกลับมาบูรณะ จากที่ได้พูดคุยกับนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งได้หารือกับกรมศิลปากร และส่วนที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าบูรณะได้
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมสามฝ่ายกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ภายหลังข้อตกลงหยุดยิง
ไทยและกัมพูชาขอบคุณจีนสำหรับบทบาทและความเข้าใจในการช่วยสนับสนุนการแก้ไขความตึงเครียดระหว่างกันเสมอมา โดยจีนย้ำว่าเคารพหลักการไม่แทรกแซง แต่ประสงค์เป็นช่องทางให้ทั้งสองประเทศได้หารือกันในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
ไทยย้ำว่าประสงค์จะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ก้าวหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนภายหลังการหยุดยิง โดยไทยเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพเสมอมา และต้องการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐบาลและประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยภายหลังการหยุดยิง 72 ชั่วโมง ไทยจะพิจารณาส่งทหาร 18 คนให้กัมพูชา และขอให้กัมพูชาอำนวยความสะดวกในการให้คนไทยบริเวณชายแดนได้เดินทางกลับประเทศ และทั้งสองฝ่ายจะหารือกันเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ เช่น การลดการเผชิญหน้า การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การถอนอาวุธหนัก การปราบปรามสแกมเมอร์ เป็นต้น เพื่อนำความปลอดภัยกลับมาสู่ประชาชนทั้งสองฝั่งให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
จากเหตุการณ์ชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดจากกองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลขณะปฏิบัติภารกิจเสริมความมั่นคงในพื้นที่บริเวณเขาสัตตะโสม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ จ.ส.ต.สุจินต์ จิตกรียาน ได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียขาซ้ายและมีบาดแผลบริเวณตาซ้าย พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่ายังมีทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาติดตั้งไว้ในพื้นที่อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ที่ฝ่ายไทยเข้าควบคุมก่อนมีการประกาศหยุดยิง ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งดำเนินการเก็บกู้ด้วยความยากลำบากเนื่องจากสภาพพื้นที่มีความเสี่ยงอันตรายสูง สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่เกิดเหตุและรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียด ซึ่งกองทัพบกจะส่งมอบข้อมูลทั้งหมดให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน พร้อมทั้งรายงานไปยังคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) เพื่อให้ตรวจสอบและพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงตามกรอบการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง
กองทัพบก ขอยืนยันว่า หลักฐานการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในทุกกรณี บ่งชี้ชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีการใช้ทุ่นระเบิดซึ่งถือเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ การสะสม การผลิต และการโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิดดังกล่าว (อนุสัญญาออตตาวา) อย่างร้ายแรง ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากลและเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกไม่อาจยอมรับได้
ต่อเหตุการณ์ดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เรื่องการประท้วงต่อเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 11 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่เกิดเหตุและรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียด เพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงตามกรอบการปฏิบัติตาม Joint Statement ไทยขอแสดงความเสียใจ
ต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอประณามการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ที่กัมพูชาเป็นรัฐภาคีอย่างโจ่งแจ้งอีกครั้ง และในการนี้ ไทยจะมีหนังสือประท้วงถึงกัมพูชา และจะดำเนินการตามกลไกของอนุสัญญาออตตาวาอย่างถึงที่สุดต่อไป รวมทั้งเรียกร้องให้กัมพูชาให้ความร่วมมืออย่างจริงใจในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาระสำคัญของแถลงการณ์ร่วมของการประชุม GBC ที่ทั้งสองฝ่ายมีพันธะต้องปฏิบัติตาม
นอกจากนี้ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ถึงสถานการณ์เมื่อคืนวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ว่า ได้มีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) บินจากฝั่งกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยมากกว่า 250 ลำ โดยพบการเคลื่อนไหวอย่างหนาแน่นในพื้นที่ช่องบก ช่องอานม้า เขาสัตตะโสม ซำแต โดนตวล ช่องกร่าง ปราสาทตาเมือนธม และช่องสายตะกู การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการยั่วยุและละเมิดมาตรการลดระดับความตึงเครียด อันเป็นการไม่สอดคล้องกับถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) จากผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย – กัมพูชา GBC เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้ และย้ำว่า พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีการกระทำในลักษณะยั่วยุ และมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของกำลังพล รวมถึงประชาชนในพื้นที่แนวชายแดน กองทัพบกอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนการดำเนินการเกี่ยวกับการปล่อยตัวกำลังพลฝ่ายกัมพูชาจำนวน 18 นาย ตามสถานการณ์และพฤติกรรมที่เกิดขึ้น และขอยืนยันว่า ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางสันติ และให้ความสำคัญกับการลดความตึงเครียดผ่านกลไกที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม หากยังพบมีการละเมิดข้อตกลงและอธิปไตยของประเทศอย่างต่อเนื่อง กองทัพบกมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามหน้าที่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ข้อตกลงการหยุดยิงตามถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) 72 ชั่วโมง จะครบกำหนดในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. โดยได้รับรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่าสถานการณ์ทั่วไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ย้ำว่า แม้ทั้งสองฝ่ายจะหยุดการโจมตีซึ่งกันและกันและลดระดับความรุนแรงลง แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงยังคงเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมตลอดเวลา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่
ส่วนประชาชนที่เริ่มทยอยเดินทางจากศูนย์พักพิงกลับภูมิลำเนา นายจำเริญ แหวนเพ็ชร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้จัดพิธีทำบุญตักบาตร ณ อาคารคณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ เพื่อเสริมสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจแก่ประชาชนที่ต้องอพยพจากที่พักอาศัยมาอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ก่อนเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา ซึ่งประชาชนผู้อพยพได้พักอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งนี้เป็นระยะเวลา 22 วัน และเริ่มทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนา หลังจากจังหวัดสุรินทร์ได้ประกาศให้สามารถเดินทางกลับได้ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานนำหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมปล่อยขบวนรถส่งผู้อพยพชุดสุดท้าย กลับภูมิลำเนา จำนวนกว่า 1,500 คน ในพื้นที่ตำบลตาเมียง และตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พร้อมเน้นย้ำ หากประชาชนพบวัตถุแปลกปลอมหรือสิ่งผิดปกติในพื้นที่ภูมิลำเนา ให้รีบแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่โดยด่วน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน นอกจากนี้จังหวัดสุรินทร์ได้สั่งห้ามการจุดพลุหรือประทัดในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อป้องกันความตื่นตระหนกและความเข้าใจผิดจากเสียงดังในพื้นที่ โดยมีหน่วยงานด้านความมั่นคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมใช้หอกระจายข่าวและเครือข่ายผู้นำชุมชนติดตามดูแลความเรียบร้อยอย่างทั่วถึง
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. ได้ออกมาตรการด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้า บสย. และลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา สำหรับผู้ที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 7 จังหวัด ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด โดยพักชำระค่าธรรมเนียม-ค่างวด เป็นระยะเวลา 6 เดือน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
1. มาตรการช่วยเหลือลูกค้า สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ ที่จะครบกำหนดชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 พักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ และค่าจัดการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียม สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการภายในวันที่ 31 มกราคม 2569
2. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ สำหรับลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลม ซึ่งอยู่ระหว่างผ่อนชำระตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ผิดนัดชำระหนี้ พักชำระค่างวด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 6 เดือน ระยะเวลารับคำขอตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 และกรณีลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ (รวมถึงครอบครัวสายตรง ได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรส บุตร) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ และประชาชนที่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพ จากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดน บสย. ยกหนี้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยให้ทุกสัญญาที่ บสย. จ่ายเคลม
นอกจากนี้ บสย. ยังมอบหมายให้สำนักงานเขต บสย. ซึ่งดูแลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา สื่อสารประชาสัมพันธ์มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ไปยังลูกค้า และลูกหนี้ บสย. พร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบสามารถกลับมาฟื้นฟูกิจการได้ภายหลังจากเหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
สำหรับลูกค้า-ลูกหนี้ บสย. ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา และมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 7 จังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ ผ่านช่องทาง LINE OA TCG First: @tcgfirst หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่ และ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999








