คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ฉบับปรับปรุง) นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ จนกว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือคณะรัฐมนตรี จะมีมติว่าสถานการณ์ของประเทศกลับสู่สภาวะปกติ เพื่อให้มีความครอบคลุมและชัดเจนยิ่งขึ้นโดยให้ยกเลิกหลักเกณฑ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 และให้ใช้หลักเกณฑ์ใหม่แทน ดังนี้
– ให้หลักเกณฑ์และกรอบอัตราให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ฉบับปรับปรุง) มีผลบังคับใช้นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ จนกว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือคณะรัฐมนตรี จะมีมติว่าสถานการณ์ของประเทศกลับสู่สภาวะปกติ
– เงินเยียวยาตามหลักเกณฑ์และกรอบอัตราให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ฉบับปรับปรุง) ให้จ่ายผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น
– กำหนดเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาการจ่ายเงินเยียวยา ดังนี้ (1) การจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชน กรณีเสียชีวิตทุพพลภาพให้ใช้รายงานการชันสูตรพลิกศพ หรือรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวน กรณีเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ
(2) การจ่ายเงินเยียวยาให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เป็นการพิจารณาของหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่แต่ละรายกรณี พร้อมเอกสารทางการแพทย์ประกอบการพิจารณา
– ให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่พิจารณาจ่ายเงินเยียวยาซึ่งได้ปฏิบัติหน้าโดยสุจริต และมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
– กำหนดหน้าที่ของหน่วยงานในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้
(1) ให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
(2) ให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ
2. เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา
3. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (วันที่ 3 สิงหาคม – 25 ธันวาคม 2568) จำนวน 577,300,000 บาท โดยให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ แล้วแต่กรณี เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ รวม 562,500,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ทหาร คิดเป็นเงิน 545,500,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ คิดเป็นเงิน 17,000,000 บาท และประชาชน รวม 14,800,000 บาท ทั้งนี้ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม และมีเงินคงเหลือจากกรอบวงเงิน ให้สามารถเบิกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ และหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมเกินกรอบวงเงิน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวจะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามกระบวนการเยียวยาต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ติดตามสถานการณ์ตามข้อตกลงหยุดยิงเป็นเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งครบกำหนดในเวลา 12.00 น. วันที่ 30 ธันวาคม 2568 ว่า กองทัพและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะดำเนินการทุกขั้นตอนตามที่ได้ระบุไว้ในถ้อยแถลง ส่วนกรณีที่กัมพูชาพยายามเร่งรัดให้ไทยเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee : JBC) ที่ประเทศกัมพูชา ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2569 ย้ำว่า ไทยได้ประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ทุกอย่างต้องเกิดจากความจริงใจและความตั้งใจ ที่จะทำให้สถานการณ์และสันติภาพเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ หากเป็นประเด็นที่เป็นเหตุเป็นผล ประเทศไทยก็พร้อมหารือและหาทางออกร่วมกัน
สำหรับการชี้แจงข้อเท็จจริงแก่นานาประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวง การต่างประเทศ แถลงข่าวภายหลังการบรรยายสรุปแก่คณะทูต เกี่ยวกับการประชุมสามฝ่ายไทย – กัมพูชา – จีน และพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุม ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งภายหลังการหยุดยิงไทยได้เลือกเส้นทางแห่งสันติภาพเสมอมา ต้องการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐบาลกับประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยจะหารือเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ เช่น การลดการเผชิญหน้า การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การถอนอาวุธหนัก การปราบปรามสแกมเมอร์ เพื่อนำความปลอดภัยกลับมาสู่ประชาชนทั้งสองฝั่งให้ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ
สำหรับการดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา ได้ครบกำหนด 72 ชั่วโมง ซึ่งไทยปฏิบัติตามถ้อยแถลงอย่างเคร่งครัด แต่ฝ่ายความมั่นคงตรวจพบโดรนกัมพูชาบินล้ำเข้ามายังพื้นที่ของไทย เข้าข่ายละเมิดถ้อยแถลงร่วมข้อ 6 ละเว้นจากการยั่วยุและการปฏิบัติการทางทหารที่รุกล้ำน่านฟ้าดินแดนหรือเป็นที่ตั้งของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยฝ่ายไทยกำลังพิจารณาเรื่องการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย และมีการสื่อสารระหว่างกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองฝ่ายโดยตรงแล้ว เป็นไปตามข้อ 14 ของถ้อยแถลงร่วม อีกทั้งกัมพูชาได้ออกประกาศห้ามบินโดรนในประเทศ โดยเฉพาะบริเวณตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว ส่วนวันเวลาในการปล่อยตัวขึ้นอยู่กับฝ่ายความมั่นคง คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ไทยต้องการเน้นให้การหยุดยิงยั่งยืนถาวรและมีมาตรการต่าง ๆ ส่วนจะเดินหน้าความสัมพันธ์ต่อไปอย่างไรซึ่งจะทำไปทีละขั้นตอน จะต้องมีการพบหารือกันระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรบ้าง เช่น การมีเอกอัครราชทูตในแต่ละประเทศหรือการฟื้นฟูการติดต่อแลกเปลี่ยน แต่ขอให้ช่วงนี้ทำให้การหยุดยิงมีความเข้มแข็งสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
นอกจากนี้ กองกำลังบูรพา ได้ประกาศยกเลิกประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 19.00 – 05.00 น. ในพื้นที่ 4 อำเภอ ตามแนวชายแดน จังหวัดสระแก้ว ได้แก่ อำเภอตาพระยา โคกสูง อรัญประเทศ และคลองหาด ที่ประกาศเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ที่ปรากฏภัยคุกคาม ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จากภายนอกราชอาณาจักรอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้แล้ว เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการดำเนินชีวิตประจำวัน ส่งเสริมเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของจังหวัด จึงให้ยกเลิกประกาศดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
อีกทั้ง คณะรัฐมนตรียังได้มีมติรับทราบมาตรการบรรเทาผลกระทบกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ จากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568
เป็นต้นมา กระทรวงพาณิชย์ได้มีการติดตามสถานการณ์การค้าอย่างใกล้ชิด และได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ร่วมกับจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา 7 จังหวัด ประกอบด้วย อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สระแก้ว จันทบุรี และตราด โดยมีผู้เข้าร่วม เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด รวมถึงหน่วยงานและผู้ประกอบการ ทั้งนี้ สามารถสรุปข้อมูลจากการระดมความคิดเห็นในจังหวัดเกี่ยวกับผลกระทบและมาตรการฯ แบ่งตามกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ 4 กลุ่ม ดังนี้
1. ประชาชน จากการค้าขายและการท่องเที่ยวในพื้นที่ลดลง ประชาชนขาดรายได้ ทำให้มีกำลังซื้อลดลง โดยมีแนวทาง กำกับดูแลสินค้าให้มีราคาเป็นธรรม ปริมาณเพียงพอ จัดงานธงฟ้าราคาประหยัด (ธงฟ้า) เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ส่งเสริมอาชีพให้ประชาชนเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น ทำธุรกิจแฟรนไซส์
2. เกษตรกร รายได้ลดลง เนื่องจากไม่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เช่น ผัก ผลไม้ เป็ด ไก่พื้นเมือง น้ำปลาไปยังกัมพูชา มีแนวทางเพิ่มช่องทางการตลาด เชื่อมโยงสินค้าไปจำหน่ายนอกพื้นที่ โดยใช้กลไกของสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อผลักดัน สินค้าเข้าสู่ตลาดกลางสินค้าเกษตร สหกรณ์ และโรงงานแปรรูป และลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช
3. ผู้ค้ารายย่อย แบ่งเป็น
ผู้ค้าสินค้าอุปโภคบริโภค โดยนำสินค้าไปจำหน่ายนอกพื้นที่ เช่น งานธงฟ้า และประสานผู้รับซื้อเข้าไปซื้อสินค้า เช่น กลุ่มโรงแรม และร้านอาหาร
ผู้ค้าสินค้า OTOP สินค้าอัตลักษณ์ จะนำผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าและให้สิทธิพิเศษผู้ค้าจาก 7 จังหวัด เข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และการนำสินค้าไปจำหน่ายในโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยว
ผู้ค้าสินค้าเกษตร/เกษตรแปรรูป (เช่น ผลไม้ ผัก ไก่/เป็ดพื้นเมือง) นำสินค้าไปจำหน่ายนอกพื้นที่ โดยใช้กลไกของหน่วยงาน เช่น สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด และส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการส่งออก
4. ผู้ส่งออก ซึ่งผู้ส่งออกไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชาได้โดยกรณีเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น จึงจะหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดกัมพูชา รวมถึงเสริมการบริโภคภายในประเทศสำหรับสินค้าที่มีปริมาณมาก และอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ โดยจับคู่ผู้ส่งออกกับผู้ให้บริการขนส่งโดยเปลี่ยนไปส่งออกทางชายแดนอื่น เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอมาตรการฯ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น เช่น
– มาตรการสินเชื่อและเสริมสภาพคล่อง เช่น จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูชายแดนเพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการ
ใช้เป็นทุนในการพัฒนาอาชีพและในการประกอบกิจการ
– มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยว เพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา รัฐสนับสนุนมากกว่าร้อยละ 50
– มาตรการลดค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น ยกเว้นภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีป้าย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่
– มาตรการด้านแรงงาน เช่น ประชาสัมพันธ์ช่องทางการรับสมัครงานและความต้องการจ้างงานระยะสั้นผ่านช่องทางออนไลน์
กระทรวงพาณิชย์ ยังมีแผนการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน เกษตรกร ผู้ค้ารายย่อยและผู้ส่งออกจากสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เช่น จัดหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพื่อช่วยระบายสินค้าในพื้นที่ (เช่น งานธงฟ้าฯ กิจกรรมรณรงค์การบริโภคผลไม้ Thai Fruits Festival 2025) การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของขวัญจาก 7 จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา และการแสวงหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดกัมพูชา สร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ (เช่น แผนการจัดกิจกรรม Thailand Week 2026 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ทั้งนี้มาตรการต่าง ๆ นี้ จะใช้เป็นแนวทางในการวางแผนช่วยเหลือในระยะเร่งด่วนให้ตรงกับความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม และเป็นข้อมูลในการวางแผนกำหนดนโยบายเพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะยาวต่อไป








