พลตำรวจโทจารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงเหตุผลการออกคำสั่งหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฉบับที่ 4 เรื่อง ให้ตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการที่มีลักษณะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และมีคำสั่งให้ตรวจสอบเนื้อหารายการของสื่อมวลชนรวม 5 สำนัก
ยืนยันว่า การออกประกาศฉบับนี้ เนื่องจาก ได้รับแจ้งว่ามีการนำเสนอข้อมูลที่ปลุกปั่น และอาจทำให้เกิดความไม่สงบได้ ซึ่งจะให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส รวมทั้งสำนักงาน กสทช. พิจารณาว่าทำผิดกฎหมายหรือไม่ หากผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายปกติ โดยอาจพิจารณาให้นำข้อความออกบางช่วง แต่หากจะให้ระงับการออกอากาศ จะต้องไปขออำนาจศาล ซึ่งคำสั่งนี้ยังไม่ได้ประกาศใช้ เนื่องจาก ยังไม่ได้ลงในราชกิจจานุเบกษา และจำเป็นต้องกำหนดขั้นตอน หลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก่อน
พร้อมยืนยันว่า กองอำนวยรักษาความสงบเรียบร้อยในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ กอร.ฉ. ไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และยังไม่มีคำสั่งปิดสื่อมวลชนใด แต่เป็นเพียงการจัดการข้อมูลข่าวสารที่มีปัญหาบางอย่าง หรือเป็นช่วงเวลา ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความสับสน หรือสถานการณ์รุนแรงขึ้นได้

นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งอีกฉบับหนึ่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการสื่อ ที่มีปลัดกระทรวงดีอีเอส เป็นประธานคณะกรรมการ และข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยมีหน้าที่ บริหารจัดการข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏทางสื่อมวลชน เอกสาร หรือข้อมูลอื่นใด และสื่อทุกชนิดที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศให้รวบรวมไว้เป็นระบบ รวมทั้งสืบสวนการสื่อสารหรือข้อมูลของบุคคลที่ได้เผยแพร่และส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย และดำเนินการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
ด้าน พันตำรวจเอกศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบเพจข่าวออนไลน์ มีการนำคลิปเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 มาถ่ายทอดซ้ำ ในช่วงวันที่ 17 – 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด ว่ามีเหตุปะทะกันอีกครั้ง ถือเป็นการนำเข้าข้อมูลที่บิดเบือน ก็จะมีการความแจ้งความดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ขณะเดียวกัน พลตำรวจตรีปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงภาพรวมการดูแลความสงบเรียบร้อยการชุมนุมช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีการชุมนุมหลัก 3 จุด คือ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและพื้นที่โดยรอบ บริเวณถนนสุขุมวิท แยกอโศกถนนอโศกมนตรี และบริเวณถนนสุขุมวิท ขาเข้าและขาออก ตั้งแต่แยกอุดมสุข ถึงแยกบางนา โดยมีการจัดกำลังตำรวจนครบาลดูแลทั้ง 3 จุดนี้ รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ จำนวน 12 กองร้อย ดูแลความปลอดภัย ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และความผิดที่เกี่ยวข้อง มีการจับกุมแล้ว 74 คน ซึ่งจะนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย
ส่วนกรณีที่มีกลุ่มบุคคลก่อความวุ่นวายบริเวณซอยสุขุมวิท 103 ถึงแยกบางนา หลังประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวานนี้ โดยได้มีการขว้างปาสิ่งของ ทุบตี จนทำให้ตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจรและไฟจราจรบริเวณสี่แยกบางนาเสียหาย ขณะนี้ ตำรวจนครบาลบางนา รับคำร้องทุกข์ และจะขออนุมัติศาลออกหมายจับ และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับการดูแลความปลอดภัยการชุมนุมในวันนี้ (19 ต.ค.63) ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ได้เตรียมกำลังเบื้องต้น 12 กองร้อยเช่นเดิม โดยจะมีการติดตามการนัดหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง ซึ่งจะเน้นดูแลความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุม ป้องกันมือที่สามสร้างความวุ่นวาย ส่วนการสลายการชุมนุม พลตำรวจโทภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะเป็นผู้พิจารณาสั่งการ