กต.และ สตช.ชี้แจงกรณี UN เรียกร้องไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชุมนุม

จากกรณีที่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ( OHCHR ) ได้เผยแพร่แถลงข่าวร่วม (News Release) ของผู้เสนอรายงานพิเศษฯ ใน 3 ด้านของสิทธิเสรีภาพ และข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 นั้น

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ผู้เสนอรายงานพิเศษดังกล่าว เป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระที่มีหน้าที่ติดตามสถานการณ์ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งเป็นเป็นกลไกพิเศษภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประกอบด้วยผู้เสนอรายงานพิเศษในประเด็นต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญอิสระ และคณะทำงานต่างๆ

ทั้งนี้ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีการเผยแพร่แถลงข่าวร่วมฉบับนี้ ฝ่ายไทยโดยเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้หารือกับนาง Michelle Bachelet ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ผ่านการสื่อสารทางไกล เกี่ยวกับสถานการณ์ชุมนุมในประเทศไทย และการแถลงข่าวร่วมข้างต้น เพื่อชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะการที่รัฐบาลได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 และได้ย้ำว่า ไทยยึดมั่นในพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รัฐบาลไทยรับมืออย่างสมดุลระหว่างข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังเงียบ และที่สำคัญคือกระบวนการทางยุติธรรมและศาลมีความเป็นอิสระ โดยล่าสุดศาลมีคำสั่งยกเลิกคำร้องของกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อปิดสื่อบางแห่งแล้ว

สำหรับข้อห่วงกังวลที่ปรากฏในแถลงข่าวดังกล่าว อาทิ เรื่องการจับกุม การใช้น้ำฉีดแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฯลฯ นั้น ปลัดกระทรวงการต่างประเทศพร้อมด้วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการชี้แจงพร้อมตอบคำถามในการบรรยายสรุปต่อคณะทูตและองค์การระหว่างประเทศแล้ว เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยผู้แทนสำนักงาน OHCHR ประจำประเทศไทยได้เข้าฟังด้วย

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวถึงการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างๆ ในเรื่องนี้ว่าบางสำนักข่าวสรุปเนื้อหาคลาดเคลื่อน โดยนำเสนอว่ากลุ่มผู้เสนอรายงานพิเศษฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัว “ทุกคน” โดยไม่มีเงื่อนไข แต่ข้อเท็จจริง คือ เรียกร้องให้ปล่อยตัว “บุคคลที่ถูกจับกุมเพียงเพราะใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐาน” หรือผู้ชุมนุมทั่วไป ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกัน และอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในท่าทีของกลุ่มผู้เสนอรายงานพิเศษฯ

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงกรณีที่ OHCHR ระบุว่ามีการใช้มาตรการทางกฎหมายและการจับกุมประชาชน รวมถึงวิจารณ์เรื่องที่ใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมที่ชุมนุมอย่างสันติ ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมายภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายใน และปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

ในประเด็นเรื่องการปฏิบัติการต่อการชุมนุมของฝูงชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำต้องดำเนินการตาม พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ซึ่งมีบทกำหนดให้ดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมฝูงชน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อดูแลการชุมนุมสาธารณะดังกล่าว ภายใต้ “แผนการชุมนุม 63” โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมาย และหลักปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนที่เป็นสากล ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป

หากแต่การชุมนุมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ โดยเหตุดังกล่าวรัฐบาลได้พิจารณาแล้วและเห็นว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่เป็นไปโดยสงบอันอาจทำให้เกิดเหตุเงื่อนไขลุกลามบานปลาย จึงได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ต.ค.63 โดยให้ใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 แม้ภายหลังจะได้มีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ต.ค.63 ดังนี้แล้ว ถือได้ว่าสถานการณ์ตั้งแต่ 15-22 ต.ค.63 ในระหว่างที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการชุมนุมที่มีความร้ายแรง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของกฎหมาย แต่ยังคงยึดหลักการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมภายใต้ “แผนการชุมนุม 63” ซึ่งเป็นแผนการปฏิบัติฉบับเดียวกันกับในสถานการณ์ปกติ และมีขั้นตอนตามหลักสากล ไม่มีการใช้กำลังเกินกว่าความจำเป็นแต่อย่างใด

สำหรับประเด็นเรื่อง การดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมรวมถึงการจับกุมและการควบคุมตัว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กระทำการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยอาศัยอำนาจศาลในการขออนุมัติหมายจับ การควบคุม การคุมขัง ดังนั้น ในส่วนของการปล่อยตัวหรือการดำเนินการอื่นใดอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของศาลยุติธรรมในการดำเนินการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่อาจก้าวล่วงได้แต่อย่างใด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง