ตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ประกาศว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ระงับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสินค้าไทยภายใต้โครงการ Generalized System of Preferences (GSP) กับสินค้าไทยบางรายการของไทย รวมแล้วราว 200 รายการ เป็นมูลค่า 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.53 หมื่นล้านบาท โดยระบุสาเหตุว่า ไทยไม่ได้เปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดการค้าของไทยอย่างสมเหตุสมผล
ทั้งนี้ การตัดสิทธิ GSP สินค้าไทยดังกล่าว ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.2563 เป็นต้นไป โดยครอบคลุมสินค้า 231 รายการ เช่น หมู สัปปะรด ผลิตภัณฑ์แสตนเลส เหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รถมอเตอร์ไซด์ และชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ผลกระทบจากการที่สหรัฐตัดสิทธิ GSP สินค้าไทย จำนวน 231 รายการ ไม่ได้รุนแรงเหมือนที่มีการเสนอในข่าว เนื่องจากสินค้าทั้ง 231 รายการดังกล่าว พบว่าในปี 2562 มีการใช้สิทธิจริง 147 รายการซึ่งมูลค่าประมาณ 604 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นภาษีที่ต้องกลับไปเสียในอัตราปกติมูลค่า 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 600 ล้านบาท
“การที่สินค้าไทยถูกตัด GSP ไม่ได้หมายความว่าเราส่งออกไม่ได้ เพียงแต่สินค้า 147 รายการที่เราเคยใช้สิทธิ GSP ในการส่งออกไปสหรัฐนั้น จะต้องกลับไปเสียภาษีเหมือนเดิมที่ระดับ 3-4% ซึ่งนั่นคิดเป็นประมาณ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 600 ล้านบาท” นายกีรติกล่าว
สำหรับสินค้าที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ พวงมาลัยรถยนต์ ล้อรถยนต์ กระปุกเกียร์ กรอบโครงสร้างแว่นตาทำด้วยพลาสติก เคมีภัณฑ์ เกลือฟลูออรีน ที่นอนและฟูกทำด้วยยางหรือพลาสติก หลอดและท่อทำด้วยยางวัลแคไนซ์ อะลูมิเนียมเจือแผ่นบาง เป็นต้น

นายกีรติ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์ จะเร่งดำเนินการในการประสานกับฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกร่วมกันในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากสิทธิ GSP จะช่วยทำให้ผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าสหรัฐฯ สามารถลดภาระภาษี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ พร้อมเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยแล้ว เบื้องต้นวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างหลากหลายและการเปิดตลาดใหม่ โดยเน้นกลยุทธ์การตลาดด้านคุณภาพมาตรฐานสินค้า