นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคายางพาราที่ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายนถึงปลายตุลาคมที่ผ่านมา อย่างรวดเร็ว จาก 54 บาท/กก. เป็น 82 บาท/กก. เพิ่มขึ้นประมาณ 28 บาท/กก. โดยปัจจัยมาจากในช่วงดังกล่าวผู้ซื้อในประเทศเร่งซื้อยางเพื่อส่งมอบตามสัญญา ประกอบกับความต้องการใช้ยางในประเทศสูง
ขณะที่ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย เนื่องจากประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติต่างได้ผลกระทบจากพายุโซเดล และ โมลาเบ กระทั่งราคายางพาราเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ 28 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน เป็นผลจากนักลงทุนต่างประเทศเกิดการเทขาย เพื่อเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้า อีกทั้งการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) ระลอกใหม่ หลายประเทศประกาศล็อคดาวน์อีกครั้ง ส่งผลต่อการส่งออกยางพารา รวมถึงเริ่มเข้าสู่ฤดูผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาด
ล่าสุดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 ราคายางมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 ปิดตลาดราคาเฉลี่ยที่ 66.86 บาท/กก. น้ำยางสดปิดตลาดที่ 53.50/กก. และยางก้อนถ้วยปิดตลาดที่ 41.50 /กก.
ผู้ว่าการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กยท. มีโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ได้แก่ โครงการชะลอการขายยางของสถาบันเกษตรกร การเพิ่มจุดรับซื้อและรวบรวมน้ำยางสด และโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะ 2 เพื่อลดความเสี่ยงด้านรายได้ ซึ่งราคาประกันที่โครงการกำหนดไว้ คือ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาท/กก. น้ำยางสดราคา 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ราคา 23 บาท/กก.
ทั้งนี้ เกษตรกรชาวสวนยางต้องขึ้นทะเบียนกับ กยท. ก่อน 15 พฤษภาคม 63 มีสวนยางเปิดกรีดแล้ว อายุยาง 7 ปี ขึ้นไป รายละไม่เกิน 25 ไร่ โดยระยะเวลาประกันรายได้ ตั้งแต่ ตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564 และจะเริ่มจ่ายส่วนต่างให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางได้ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยพยุงราคายางไว้ ให้เกษตรกรสามารถมีรายได้ที่มั่นคงต่อไป