จากกรณี ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ประธานคณะอนุกรรมการนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละลองที่ผ่าน ครม.มาแล้วกว่า 1 ปี แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ปัญหาฝุ่นละออง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นทุกปี โดยเฉพาะในช่วงปลายปีต่อต้นปี เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุมส่งผลให้เกิดสภาพอากาศปิด ทำให้ PM2.5 ไม่มีการกระจายตัว เกิดการสะสมเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้คือแหล่งกำเนิด ซึ่งหลังจากรัฐบาลได้มีแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติฯ เมื่อปีที่ผ่านมา ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ในปีนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการถอดบทเรียนและทบทวนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ นำมาสู่แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. 2563) ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่
มาตรการที่ 1 การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยปรับปรุงแนวทางการกำหนดเกณฑ์ระดับปริมาณ PM2.5 ที่ให้หน่วยงานเพิ่มความเข้มงวดการดำเนินงานที่สามารถให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/จังหวัด/พื้นที่เสี่ยง สามารถพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่เหมาะสมของการดำเนินงานที่สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของพื้นที่
มาตรการที่ 2 การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) เพิ่มเติมมาตรการในการลดและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด ได้แก่ ยานพาหนะ อุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง การก่อสร้างและผังเมือง และภาคครัวเรือน
มาตรการที่ 3 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษเป็นการพัฒนาระบบ พัฒนาองค์ความรู้ และจัดทำฐานข้อมูลสนับสนุนการแก้ปัญหาฝุ่นละอองจากไฟป่าและการเผาในที่โล่ง
นอกจากนี้ได้มีการจัดทำแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองในช่วงเกิดสถานการณ์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) การสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จัดทำแผนประชาสัมพันธ์ ตั้งศูนย์ข้อมูลการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ War room ในช่วงเกิดสถานการณ์ เพื่อบูรณาการและสื่อสารข้อมูล และ แต่งตั้งโฆษกเหตุการณ์ช่วงวิกฤตฝุ่นละออง
2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละออง ภายใต้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำกับดูแลและรับมือสถานการณ์
3) การบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า
– การเก็บขนและใช้ประโยชน์เศษวัสดุในป่า (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) ระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2563
– การบริหารจัดการเชื้อเพลิงใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ก่อนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ หรือวันที่จังหวัดกำหนด
4) สร้างเครือข่าย อาสาสมัคร และจิตอาสา เป็นกลไกหลักเข้าถึงพื้นที่ ทั้งสื่อสาร ติดตาม เฝ้าระวัง และดับไฟ
5) เร่งขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ภายใต้ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน โดยกำหนดเป้าหมาย 12 จังหวัดภายในปี 2563 และ ครบ 76 จังหวัด ภายในปี 2570
6) เร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายโอนภารกิจการควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
7) การพยากรณ์ฝุ่นละอองล่วงหน้า 3 วัน เพื่อแจ้งเตือนประชาชน โดยเริ่มใช้วันที่ 15 พฤศจิกายน 2563
8) ประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการรายงานปริมาณฝุ่นละอองเชิงพื้นที่โดยเริ่มใช้วันที่ 1 ธันวาคม 2563
9) พัฒนาระบบคาดการณ์ และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาและใช้งานแอพพลิเคชันบัญชาการการดับไฟป่า โดยเริ่มใช้วันที่ 1 ธันวาคม 2563
10) บริหารจัดการเชื้อเพลิงโดยใช้แอพพลิเคชันลงทะเบียนจัดการเชื้อเพลิง
11) ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลป่าไม้ และลดการเผาป่า ผ่านการจัดที่ดินทำกิน
12) เจรจาสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งระดับอาเซียน ระดับทวิภาคี และระดับพื้นที่ชายแดน
ขณะเดียวกัน ได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)” โดยคณะอนุกรรมการสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อเป็นศูนย์ในการบูรณาการประสานงานรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ในรูปแบบ One Voice One Team ซึ่งได้มีแถลงข่าวและให้ข่าวทุกวันจันทร์และพฤหัสบดี รวมถึงให้มีการรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองรายวัน ข้อมูลองค์ความรู้ ซึ่งประชาชนสามารถติดตามได้จาก เฟซบุ๊คแฟนเพจ “ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)” https://www.facebook.com/airpollution.CAPM