สธ.ย้ำมาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงแพร่สัมผัสเชื้อได้

วันนี้ (12 ธันวาคม 2563) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรวม 49 ราย โดยสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อจากเมียนมาทั้งหมดเข้าสู่ระบบช่องทางปกติ เข้ารับการกักตัวในสถานกักกันของรัฐทั้งหมด (Local Quarantine) แสดงให้เห็นว่ามีมาตรการที่รัดกุมไม่พบผู้ติดเชื้อที่ลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งวานนี้ (11 ธันวาคม) จ.เชียงรายร่วมกับ จ.ท่าขี้เหล็ก จัดระบบให้คนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับอย่างถูกกฎหมาย มีผู้แสดงความจำนงแล้ว 107 คน เป็นผู้ใหญ่ 104 คน และเด็ก 3 คน โดยเมียนมาได้ตรวจหาเชื้อก่อนการเดินทางพบผู้ติดเชื้อ 5 คน ส่งไปดูแลรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทันที นับเป็นการสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อสู่ชุมชน ส่วนผู้ที่ไม่พบการติดเชื้อจะเข้ากักตัวในสถานกักตัวของรัฐที่ทาง จ.เชียงรายจัดให้ พร้อมตรวจหาเชื้อทันที ซึ่งในกลุ่มนี้ได้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 ราย เข้าสู่ระบบการรักษา รวมมีผู้ติดเชื้อเป็น 9 ราย

ทั้งนี้ จ.เชียงราย ได้เตรียมอุปกรณ์ ยารักษาโรค ห้องแยกโรคไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมดูแลคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ขอให้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะได้รับการอำนวยความสะดวก ครอบครัว ชุมชน สังคมปลอดภัย ขอย้ำว่าผู้ที่เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ /เชียงราย ไม่ต้องกักตัวโดยผู้ที่ต้องเข้ารับการกักตัว และตรวจหาเชื้อ คือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ได้แก่ คนในครอบครัว ผู้ที่พูดคุยกับผู้ติดเชื้อเกิน 5 นาที ในระยะไม่เกิน 1 เมตร ผู้ที่ไอ/จามรดกัน และการอยู่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เกิน 15 นาที ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ ผู้ที่เดินทางมาจาก 7 จังหวัด และไม่ได้พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในช่วงเวลานั้นๆ รวมถึงการผู้ที่สัมผัสพูดคุยกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วยถือว่าไม่มีความเสี่ยง สามารถเดินทางได้ตามปกติ

นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า การสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นมาตรการสำคัญที่ป้องกันการแพร่กระจายของโรค จากการสำรวจพบว่าคนไทยสวมหน้ากากอนามัยสูงมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งช่วยให้ป้องกันการแพร่ระบาดได้ และหากทุกคนสวมหน้ากากความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 จะสูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ลงอย่างชัดเจนมากกว่า 10 เท่า ยืนยันว่าการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งในที่สาธารณะ เป็นมาตรการสำคัญลดโรคติดต่อทางเดินหายใจได้ อย่างไรก็ตาม เชื้อโควิด 19 มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น เชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดทั่วโลกกว่าร้อยละ 80 ในขณะนี้คือสายพันธุ์ G ซึ่งแตกต่างสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดจากอู่ฮั่น โดยสายพันธุ์ G มีแนวโน้มการแพร่กระจายของโรคได้ง่ายกว่าเดิม แต่ความรุนแรงของโรคน้อยลง การทดสอบในวัคซีนถือว่ามีประสิทธิภาพดี เกินกว่าร้อยละ 70และจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดีย เข้าสู่เมียนมาและเข้าสู่ประเทศไทย สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้

นายแพทย์โอภาสยืนยัน ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีจุดใดที่มีการระบาด การจัดกิจกรรมต่างๆ ทำได้ โดยขอให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการดังนี้

1)ผู้จัดงาน ต้องเตรียมมาตรการต่างๆ ให้พร้อม เช่น ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสวมหน้ากากอนามัย จัดจุดล้างมือให้เพียงพอ สแกนไทยชนะ และแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้ร่วมงานรับทราบ

2)ผู้เข้าร่วมงาน ขอให้สวมหน้ากากอนามัยแม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อมีการสัมผัสจุดร่วมให้ล้างมือทำความสะอาด สแกนไทยชนะ และเมื่อกลับจากร่วมกิจกรรม ให้สังเกตอาการ หากไม่สบาย มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสให้ไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเข้าร่วมกิจกรรม

3) เจ้าหน้าที่ ให้ติดตามกำกับผู้ประกอบกิจกรรม หากพบว่าไม่ให้ความร่วมมือ ต้องตักเตือน หากยังไม่ปฏิบัติตาม ให้แจ้งระงับกิจกรรม หรือปิดสถานที่ หากทุกคนร่วมมือกันจะทำให้ท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุข” นายแพทย์โอภาส กล่าว

ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกล่าวถึงกรณีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ หลังจากรายที่ 1 พบการติดเชื้อ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน มีการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม 4 ราย (รายที่ 2,3,4,5) ต่อมาเมื่อตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 พบเพิ่มอีก 1 ราย (รายที่ 6) ขณะนี้ทุกรายอยู่ในการดูแลของแพทย์และอาการน้อย ไม่รุนแรง สำหรับผู้ติดเชื้อรายล่าสุด เพศหญิง อายุ 29 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 ราย ในระบบเฝ้าระวัง พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 โดยสรุปผลตรวจผู้สัมผัสของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 888 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 ราย พบติดเชื้อเพียง 1 ราย (รายที่6) ซึ่งรายนี้มีผู้สัมผัส 10 คน ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วทั้งหมดผลเป็นลบ สถานการณ์สามารถควบคุมได้ และต้องติดตามสังเกตอาการจนครบ 14 วัน

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์การพบผู้ลักลอบเดินทางจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถติดตามได้ทั้งหมด เป็นการติดเชื้อจากการอยู่ใกล้ชิดกัน ถือว่ายังไม่เป็นการระบาด อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าสู่ระบบการตรวจคัดกรอง และกักกันที่ถูกต้องจากระบบโดยระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพ ควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งนี้ กลไกสำคัญที่สุดของการควบคุมโรค คือ ความร่วมมือของประชาชน ไม่ตื่นตระหนก ไม่ตื่นตูม “ตระหนักแต่ไม่ตระหนก” และ “ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม” ขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง สังเกตผู้ที่เข้ามาทางพื้นที่ชายแดน หรือมีประวัติว่าได้อยู่ใกล้ชิดสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หากเราร่วมมือกันตั้งแต่ต้นทาง ก็จะไม่ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น รวมถึงการสแกนไทยชนะ ถึงแม้ไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่จะช่วยให้ทราบว่าเราไปในสถานที่แห่งนั้น หากพบผู้ติดเชื้อ ระบบจะแจ้งเตือนให้ไปตรวจทันที ช่วยให้ตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีความปลอดภัย”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง