ทส.-มท. ย้ำชาวบ้านบางกลอย ไม่สามารถกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิมได้ ยืนยันดูแลเต็มที่

นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงกรณีชาวบ้านในพื้นที่ป่าแก่งกระจานขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาชุมชน ก่อนนำพื้นที่ป่าแก่งกระจานขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ประชุมครั้งที่ 2/2563 ที่ประชุมได้รับทราบการจัดส่งเอกสารเพิ่มเติมการนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก และนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมเกี่ยวกับข้อร้องเรียนดังกล่าว โดยเน้นย้ำการให้ความสำคัญกับการดูแลคนในชุมชน รวมทั้งปัญหาที่ดินทำกิน และที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ได้มีการลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง

กรณีที่ชาวบ้านบางกลอย ขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินให้กับชาวบ้าน ก่อนขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของกลุ่มป่าแก่งกระจานนั้น

ขอชี้แจงว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านโป่งลึก – บางกลอย ได้รับการจัดสรรที่ดินครอบครัวละ 7 ไร่ 3 งาน (1,250 ตารางเมตร) จำนวน 57 แปลง รวมทั้งหมด 413.25 ไร่ ต่อมาได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 และคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 (ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2541 – วันที่ 17 มิถุนายน 2557) โดยรวมทั้ง 2 หมู่บ้าน คือ บ้านโป่งลึก – บางกลอย มีผู้ถือครองที่ดิน จำนวน 260 ราย 337 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1,890 ไร่

ในส่วนของราษฎรที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน ทส. อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ประเทศไทยตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ปัจจุบัน มีราษฎรจากบ้านบางกลอย 30 ราย และบ้านโป่งลึก 37 ราย มาทำการแจ้งการครอบครองที่ดินแล้ว

ส่วนการขอกลับไปทำไร่หมุนเวียนนั้น ชาวบ้านบางกลอยสามารถทำไร่หมุนเวียนได้ ภายในขอบเขตที่ดินของตนเอง ที่ผ่านการสำรวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 รวมถึงกรณีที่ต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทยเพื่อกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมนั้น

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ไม่สามารถอนุญาตให้ชาวบ้านบางกลอยกลับไปทำกินในพื้นที่บริเวณใจแผ่นดิน –บางกลอยบน ได้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้ชายแดนไทย – เมียนมา อาจส่งกระทบทางด้านความมั่นคงของประเทศ และยากต่อการควบคุมการข้ามฝั่งไปมาของกลุ่มชาติพันธุ์

ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าที่ผ่านมามีการดูแลคุณภาพชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่เป็นอย่างดี และการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจะเป็นผลดี ทำให้มีการยกระดับการดูแลพื้นที่ที่เป็นมาตรฐานสากลและไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยง

ขณะที่ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงในประเด็นเดียวกันนี้ว่า ในปี 2539 อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กองกำลังสุรสีห์ และหน่วยงานความมั่นคง ได้อพยพย้ายมาบริเวณพื้นที่ใจแผ่นดินหรือบางกลอยบน ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่ปรากฏเชื้อชาติ สัญชาติ ให้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณบ้านโป่งลึก โดยจัดที่ดินทำกินที่อยู่อาศัย จำนวน 57 ครอบครัว 391 คน และตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านว่าบ้านบางกลอย ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 1 ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และบางส่วนอาศัยอยู่กับญาติบริเวณบ้านโป่งลึก หมู่ที่ 2 และในปี 2555 – 2557 อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบว่ามีบุคคลเข้าไปบุกรุกแผ้วถางและอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านใจแผ่นดินและบ้านบางกลอยบน จึงได้มีการสนธิกำลังร่วมกับฝ่ายทหาร ปกครอง ตำรวจ ทำการผลักดันและตรวจยึดพื้นที่ ซึ่งราษฎรส่วนหนึ่งมาจากบ้านบางกลอย ที่กลับขึ้นไปทำกินกับราษฎร และส่วนหนึ่งมาจากประเทศเมียนมา

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันไม่มีการบุกรุกยึดถือครอบครองหรือตั้งที่อยู่อาศัยทำการเกษตรในบริเวณพื้นที่ใจแผ่นดิน หรือบางกลอยบน พื้นที่มีสภาพเป็นป่าฟื้นตัว ราษฎรบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยได้รับการสำรวจที่ดินตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 64 ในส่วนของการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับการสำรวจแล้ว ให้กรรมการพิจารณาผลการสำรวจการครอบครองที่ดิน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและแก้ไขปัญหา โดยราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นประชากรครอบครัวขยาย ไม่สามารถขยายพื้นที่ทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ และควรให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เข้ามาดำเนินการจัดหาพื้นที่นอกเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อรองรับต่อไป

ส่วนกรณีการขอกลับไปพื้นที่ใจแผ่นดินนั้น เป็นข้อเรียกร้องของประชากรบางส่วน ไม่ใช่ประชากรทั้งหมดของหมู่บ้าน ควรตรวจสอบรายชื่อกับบัญชีการครอบครองที่ดินตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ที่มีการจัดทำข้อมูลไว้แล้ว โดยพื้นที่บางกลอยบนและใจแผ่นดินมีสภาพเป็นป่าและต้นน้ำลำธารที่สูง สภาพป่ามีการฟื้นตัวดี ไม่ควรจัดเป็นที่อยู่อาศัย โดยในปัจจุบันหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้มีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎรในหมู่บ้านทั้ง 2 แห่ง จนมีรายได้ดีขึ้น มีการจัดการศึกษา พัฒนาระบบการเกษตร และการดูแลสุขภาพอย่างดี

สำหรับกรณีที่ชาวบ้านบางกลอยบางส่วนต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม และอ้างว่าเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทยนั้น ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดได้ประสานอำเภอแก่งกระจาน ทราบว่าหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและป่าสงวนแห่งชาติยางน้ำกลัดเหนือ ยางน้ำกลัดใต้ พื้นที่ดังกล่าวจึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง