เป็นกระแสดราม่าบนโลกออนไลน์กรณีสำนักงานเศรษฐกิจการคลังส่งหนังสือไปเรียกเงินคืนจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเราชนะกว่า 2,000 ร้านค้า โดยมีบางร้านถูกเรียกคืนหลัก 10 ล้านบาท เรื่องราวเกิดอะไรขึ้น มีที่มาที่ไปอย่างไร
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด อาทิ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3, โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้, โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3, โครงการ ม33เรารักกัน. โครงการเราชนะ แต่ละโครงการก็มีวัตถุประสงค์หรือกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป โดยกระทรวงการคลังได้กำหนดคุณสมบัติ กฎเกณฑ์ เงื่อนไขไว้ก่อนที่มีการดำเนินการ

เรียกเงินคืนโครงการรัฐ
ตามรายงานข่าว กลุ่มผู้ประกอบการที่ถูกเรียกเงินคืน เป็นกลุ่มที่รับแลกเงินสด และร้านค้าออนไลน์ โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่ถูกเรียกเงินคืนมองว่าไม่ยุติธรรม เพราะเป็นการเรียกเงินทั้งหมดซึ่งบางธุรกรรมก็ไม่ได้ผิด ซึ่งหากจะเรียกคืนควรเรียกคืนเฉพาะส่วนที่รัฐอุดหนุนเท่านั้น พูดง่าย ๅ คือ คืนเงินในส่วนที่ทำผิดเท่านั้น นอกจากนี้ในหมายเรียกเงินคืนก็ไม่ได้ระบุว่ากระทำผิดอะไร ตรงไหน และจะอุทธรณ์อย่างไร ในขณะที่บางส่วนก็มองว่าเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน และมองว่าประชาชนก็ต้องถูกเรียกเงินคืนด้วยเนื่องจากกระทำผิดเช่นกัน
อย่างไรก็ดี บางส่วนที่เห็นด้วยกับนโยบายก็มองว่า หากผู้ประกอบการทำผิดก็ต้องได้รับโทษตามเงื่อนไขที่ระบุว่า “โครงการเราชนะ” ห้ามซื้อสินค้าโดยการสแกนออนไลน์ ห้ามแลกเป็นเงินสด หากตรวจสอบย้อนหลังพบกระทำผิด ท่านจะมีความผิดทั้งร้านค้าและประชาชน และหากมองย้อนไปในเดือนเมษายน และมิถุนายน เรื่องราวทำนองแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในตอนนั้นภาครัฐได้ระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการเราชนะ และคนละครึ่ง โดยเรียกชำระเงินคืนจากร้านค้า ซึ่งตอนนั้นเป็นกรณีที่ผู้ประกอบการร้านค้ารับแลกวงเงินเป็นเงินสดและขายทางออนไลน์ โดยรวมๆ ก็มีร้านค้าที่ถูกเรียกคืนเป็น 1,000 ร้านค้าเช่นกัน
สศค.แจงปมเรียกคืน
ล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ได้ออกมาชี้แจงปมประเด็นดังกล่าว ว่า โครงการเราชนะ มีวัตถุประสงค์ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ที่มีการระบาดในขณะนั้น
ทาง สศค. ได้กำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเข้มงวด เพื่อรักษาสิทธิของประชาชนที่ได้รับในโครงการฯ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในโครงการฯ ที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคำยินยอม (Consent) ที่ได้ตกลงไว้ จึงได้จัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียน

ขั้นตอนในการดำเนินการกับผู้ที่มีพฤติกรรมฝ่าฝืน
สำหรับลำดับขั้นตอนในการดำเนินการกับผู้ที่ผู้ที่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ มีดังนี้
1) การระงับสิทธิชั่วคราวการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และแจ้งให้ผู้ประกอบการให้ติดต่อกลับเพื่อชี้แจงโต้แย้ง ภายใน 14 วัน
2) เมื่อได้พิจารณาเอกสารหลักฐานของผู้ประกอบการแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบการกระทำการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวจริง หรือกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ชี้แจงโต้แย้งพร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องภายในระยะเวลาที่กำหนด จะได้มีหนังสือประทับตราแจ้งผลวินิจฉัยและขอให้ชำระเงินคืนให้แก่โครงการฯ และผู้ประกอบการสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือประทับตรา ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของการอุทธรณ์
3) เมื่อพ้นกำหนดเวลาการอุทธรณ์แล้ว กรณีไม่มีการชี้แจงหรือข้อมูลหลักฐานประกอบการอุทธรณ์ หรือไม่มีการชำระเงินคืนให้แก่โครงการฯ รวมถึงกรณีอุทธรณ์มาแต่คณะทำงานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ายังมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ก็จะได้มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการอีกครั้ง หากผู้ประกอบการยังไม่ชำระเงินคืน ก็จะต้องดำเนินการเรียกร้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เบื้องต้นขณะนี้ ทางโครงการฯ ได้ระงับสิทธิถาวรผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ แล้ว จำนวน 2,099 ราย และได้ออกหนังสือประทับตราแจ้งผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และความยินยอมสำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” เพื่อคืนเงินที่ได้รับ
ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของผู้ประกอบการขอให้มาชี้แจงเหตุผล พร้อมยื่นเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อ สศค. ภายในระยะเวลาที่กำหนด (เช่น ใบเสร็จรับเงินเพื่อแสดงต้นทุนสินค้า หลักฐานการจัดส่งสินค้า เอกสารแสดงสินค้าคงคลัง รวมถึงภาพถ่ายสถานประกอบการ เป็นต้น) เพื่อนำสู่กระบวนการพิจารณาของคณะทำงานฯ และกระบวนการขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะส่งเอกสารหรือหลักฐาน หรือกรณีมีความจำเป็นต้องรวบรวมเอกสารและหลักฐานก็อาจขอขยายเวลาการจัดส่ง โดยจัดทำคำร้องพร้อมชี้แจงเหตุผล โดยส่งมาทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ถนนพระรามที่ 6 สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400 หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ wewin@fpo.go.th

ด้านนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า โครงการเราชนะอยู่ภายใต้แผนงานเยียวยาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำเป็นต้องออกแบบมาตรการเพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของภาครัฐให้มากที่สุด และผู้เข้าร่วมโครงการก็ได้ลงนามยอมรับเงื่อนไขไปแล้ว
