นับตั้งแต่รัสเซียใช้ปฏิบัติการณ์ทางทหารบุกยูเครน ทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ไทยเราก็เช่นเดียวกันที่หลีกหนีผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ไม่พ้นราคาน้ำมัน-พลังงาน พุ่ง ผู้บริโภคจ่ายแพงขึ้น
รัสเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดิอาระเบีย มีกำลังการผลิตประมาณ 9.8 ล้านบาร์เรล/วัน ส่งออกราว 4.8 -5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ7% ของปริมาณส่งออกน้ำมันทั่วโลก แต่เมื่อเกิดสถานการณ์รัสเซีย – ยูเครน ความกังวลเรื่องน้ำมันจากรัสเซียจะหายไปจากระบบ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตกบางประเทศประกาศห้ามนำเข้าน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินจากรัสเซีย ยิ่งทำตลาดน้ำมันโลกปั่นป่วน ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยก่อนเกิดวิกฤตรัสเซีย -ยูเครน ราคาน้ำมันดิบอยู่ราว 90 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย – ยูเครนขึ้น ราคาน้ำมันในตลาดต่างประเทศเพิ่มสูง ข้อมูลเมื่อ 9 มี.ค.2565 ราคาน้ำมันสูงกว่า 127 ดอลลาร์/บาร์เรล
ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อไทย ที่นำเข้าน้ำมันราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาขายปลีกน้ำมันในไทยพุ่งขึ้นตาม ตั้งแต่เกิดสถานการณ์รัสเซีย – ยูเครน ราคาน้ำมันขายปลีกต่างปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยครั้งละ 20 สตางค์/ลิตรสำหรับดีเซล และ
60 สตางค์ถึง 1 บาท/ลิตรสำหรับเบนซิน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่ก๊าซธรรมชาติ ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกับน้ำมัน รัสเซียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ จึงเกิดปัญหาด้านอุปทาน ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงต่อเนื่อง ไทยเราเองนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG มากกว่า 10 ล้านตัน/ปี ก็ได้รับผลกระทบจากราคานำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น ราคาขายปลีกในบ้านเราเพิ่มขึ้นตาม แน่นอนว่าเมื่อราคาพลังงาน ทั้งน้ำมันและก๊าซพากันขึ้นราคาแบบนี้ ต้นทุนการผลิตสินค้า ค่าขนส่ง ก็ต้องขยับขึ้นไปด้วย ปลายทางสุดท้ายก็ไปกระทบเงินในกระเป๋าของประชาชน ที่มีรายได้เท่าเดิมแต่มีรายจ่ายมากขึ้น และส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมที่จะเติบโตได้ไม่ตามเป้า
ภาคเกษตร ก็หนักไม่แพ้กัน ปุ๋ย อาหารสัตว์ แพงกระทบรายได้เกษตรกร
สินค้าจากภาคการเกษตรก็เป็นอีกจำพวกหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ เช่น ไข่ไก่ ตั้งแต่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา
ปรับราคาหน้าฟาร์มคละขนาดขึ้นฟองละ 30 สตางค์ จากเดิมฟองละ 2.90 บาท เป็นฟองละ 3.20 บาท เพราะเมล็ดข้าวโพด ข้าวสาลี กากถั่วเหลือง ที่นำเข้ามาเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ เลี้ยงไก่ไข่ มีราคาสูงขึ้นและเริ่มขาดแคลน เนื่องจากทั้งรัสเซียและยูเครน เป็นแหล่งปลูกและผู้ส่งออกเจ้าใหญ่ เมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้นกับสองประเทศ วัตถุดิบเหล่านี้จึงถูกจำกัดการส่งออกและปริมาณการปลูกการผลิตก็ลดลง ราคาวัตถุดิบ
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ราคาจึงเพิ่มสูง ทางผู้เลี้ยงไก่ไข่บ้านเรา จึงจำเป็นต้องปรับราคาไข่ขึ้น
ขณะที่ปุ๋ย ราคาก็ขึ้นสูงกว่าเท่าตัว อย่างปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 เดิมราคากระสอบละ 500 – 600 บาท ขึ้นเป็นกระสอบละ 1,360 บาท สูตร 18-46-0 จากกระสอบละ 700 บาท ขึ้นเป็น 1,800 บาท มีสาเหตุจากทางรัสเซียและเบรารุสที่เป็นพันธมิตรของรัสเซีย ทั้งสองประเทศเป็นผู้ส่งออกปุ๋ยเคมี และสารตั้งต้นในการผลิตปุ๋ย รายใหญ่ระดับต้น ๆ ของโลก แต่ได้สั่งห้ามส่งออกปุ๋ยไปทั่วโลก จึงส่งผลต่อไทยที่นำเข้าปุ๋ยจากทั้งสองประเทศ ต้องประสบปัญหาสินค้าขาดแคลนและราคาพุ่งสูง ซึ่งราคาปุ๋ยที่เพิ่มสูงก็จะทำให้ราคาสินค้าทางการเกษตรอีกหลายตัวเพิ่มขึ้นตามมา เพราะปุ๋ยเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต และยังกระทบไปถึงรายได้ของเกษตรกรที่ลดลงเพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เชื่อมโยงไปถึงกำลังซื้อของประชาชนในประเทศจะลดลงด้วย
ท่องเที่ยวไทยรับผลกระทบเต็ม ๆ
นักท่องเที่ยวรัสเซีย เป็นตลาดหลักติดอันดับท็อป 10 ของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2565 เริ่มเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวรัสเซียรายวันลดลง จากที่เคยเดินทางเฉลี่ย 600-700 คน/วัน เหลือ 378 คน เชื่อว่าสาเหตุสำคัญมาจากปัญหาเรื่องธุรกรรมทางการเงินจากการที่สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและพันธมิตรประกาศคว่ำบาตรรัสเซียด้วยมาตรการตัดธนาคารหลายแห่งของรัสเซียออกจากระบบ SWIFT หรือเครือข่ายการเงินระดับโลกที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับการโอนเงิน การชำระเงินข้ามพรมแดน ทำให้ชาวรัสเซียที่เป็นลูกค้าของธนาคารที่ถูกตัดจากระบบ SWIFT ไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ เช่น ชำระค่าสินค้าบริการผ่านบัตรเครดิต โอนเงินระหว่างประเทศได้ รวมทั้งค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำและทางรัฐบาลรัสเซียยังจำกัดการนำเงินดอลลาร์ออกนอกประเทศไม่เกิน 1 หมื่นดอลลาร์/คน ทำให้ชาวรัสเซียที่จะเดินทางมาเที่ยวนอกประเทศ มีความยุ่งยากมากขึ้น
ปัญหาธุรกรรมการเงินนี้ ทางจังหวัดภูเก็ต เมืองจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวรัสเซีย ได้มีมาตรการเฉพาะหน้าช่วยนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ด้วยการร่วมกับ ททท. ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต จัดตั้ง Call Center เพื่อแก้ไขปัญหาและแนะนำแนวทางให้นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียและยูเครน สามารถทำธุรกรรมทางการเงินจากบัตรเครดิต – เดรบิตได้ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ระบบ unionpay แทน visa และ mastercard โดยศูนย์ call center นี้ ให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 – 22 มี.ค.65 เวลาทำการ 08.30 – 19.00 น. โทร. 093-9372086 , 094-8191124 และ Email : hktasst@gmail.com
ภาครัฐเร่งบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน
ด้านผลกระทบราคาน้ำมัน – พลังงานและต้นทุนภาคการผลิตที่เพิ่มสูง ทางภาครัฐได้เร่งแก้ปัญหา
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน อย่างการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล บี0 และน้ำมันเตาสำหรับใช้ในการผลิตไฟฟ้าเหลือ 0% เป็นเวลา 6 เดือน จนถึงเดือนกันยายนนี้ เพื่อดึงให้โรงไฟฟ้าใช้น้ำมัน 2 ประเภทนี้แทนก๊าซธรรมชาติมาผลิตกระแสไฟฟ้า ช่วยลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ทำให้ประชาชนจ่ายค่าไฟฟ้าลดลงได้ 1-1.50 บาท/หน่วย/เดือน
เป็นเวลา 6 เดือน
ส่วนราคาน้ำมันภาครัฐยังคงใช้มาตรการตรึงราคาดีเซลให้ต่ำกว่าลิตรละ 30 บาทต่อไป โดยเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. เห็นชอบให้มีการยกเลิกการกำหนดเพดานการกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท เปลี่ยนเป็นไม่กำหนดเพดานการกู้เงิน เพื่อรับมือกับวิกฤติราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน โดยจะเสนอที่ประชุม ครม. ในวันที่ 15 มี.ค.นี้ ให้เห็นชอบออกเป็นพระราชกฤษฎีกา หรือ พรฎ.แก้ไขฉบับเดิมและให้มีผลโดยเร็วที่สุด… ว่ากันง่ายๆ หาก พรฎ.แก้ไขเพิ่มเติมนี้มีผลบังคับใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็สามารถกู้เงินได้มากขึ้น เพื่อนำเงินมาใช้ตรึงราคาน้ำมันให้นานขึ้น ลดความเดือดร้อนให้กับประชาขนได้มากขึ้นนั่นเอง