จากกรณีนายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ไม่เห็นด้วยกับโควตาการจับสัตว์น้ำเป็นจำนวนวันโดยมองว่าเป็นการทำลายทะเลหนักขึ้น พร้อมทั้งคัดค้านกรณีสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอวันทำการประมงเพิ่มขึ้นนั้น
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ชี้แจงว่า กรมประมงได้บริหารจัดการทรัพยากรตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 โดยมาตรา 30 กำหนดว่า การควบคุมและกำกับการทำการประมงให้ผู้เกี่ยวข้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการผลิตของธรรมชาติโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาจุดอ้างอิง เพื่อให้สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันกรมประมงใช้ผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield : MSY) เป็นจุดอ้างอิงของทรัพยากรสัตว์น้ำ และมีการกำหนดปริมาณสัตว์น้ำทั้งหมดที่อนุญาตให้ทำการประมง หรือ Total Allowable Catch (TAC) ตามค่า MSY จากนั้นค่า TAC จะถูกนำมาจัดสรรให้กับเรือประมงแต่ละลำตามประสิทธิภาพของเรือ โดยปริมาณสัตว์น้ำที่ได้รับจัดสรรจะถูกนำมาคำนวณเป็นจำนวนวันทำการประมง โดยมีการควบคุมวันทำการประมงไม่ให้เกินกว่าจำนวนวันที่กำหนด
ผลของการควบคุมจำนวนวันทำการประมงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ปริมาณการจับสัตว์น้ำทุกกลุ่มสัตว์น้ำ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันไม่เกินค่า TAC มาตั้งแต่ปี 2559 ชี้ให้เห็นว่า การควบคุมจำนวนวันทำการประมงเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมปริมาณการจับสัตว์น้ำให้สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืนตามจุดอ้างอิง
สำหรับสาเหตุที่กรมประมงยังไม่สามารถใช้ระบบการควบคุมโควตาปริมาณการจับสัตว์น้ำได้โดยตรง เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น การจัดทำสมุดบันทึกการทำประมงยังไม่บังคับกับเรือประมงทุกลำ โดยเฉพาะเรือประมงพื้นบ้าน ทำให้ไม่สามารถติดตามปริมาณการจับสัตว์น้ำของเรือแต่ละลำได้ , การควบคุมโควตาการจับสัตว์น้ำมีความเสี่ยงที่จะเกิดการทิ้งสัตว์น้ำที่ไม่ต้องการลงทะเล เนื่องจากชาวประมงจะบันทึกน้ำหนักสัตว์น้ำที่มีราคาดีเท่านั้น เป็นต้น
ส่วนการเรียกร้องให้มีการเพิ่มวันทำการประมงของเรือประมงพาณิชย์นั้น กรมประมงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายประการ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ในปีการประมง 64 กรมประมงมิได้เพิ่มวันทำการประมงให้กับเรือประมงพาณิชย์แต่อย่างใด