รัฐบาลอำนวยความสะดวกคนไทยไปพิธีฮัจย์ ตรวจสุขภาพ พร้อมฉีดวัคซีน “HEALTH for HAJJ” ตั้งแต่บัดนี้ – 31 พฤษภาคม 2568

(24 ก.พ. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย เป็นประธานแถลงการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ประจำปี พ.ศ. 2568 (ฮ.ศ.1446) โดยมีนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวินัย โตเจริญ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายประสาน ศรีเจริญ ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ร่วมแถลงข่าว

การประกอบพิธีฮัจย์ หรือการทำฮัจย์ เป็นศาสนกิจที่สำคัญของพี่น้องมุสลิมทั้งชายและหญิงทุกคนที่มีความสามารถในด้านร่างกาย ทรัพย์สิน จะต้องปฏิบัติครั้งหนึ่งในชีวิต รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญในการดูแลพี่น้องคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา พร้อมกับเน้นย้ำว่าขอให้ปรับปรุงการอำนวยความสะดวก ให้ปลอดภัยกับพี่น้องชาวไทยมุสลิมให้ดีที่สุด เดินทางโดยสะดวกขึ้น ทั้งการเพิ่มเที่ยวบินที่สนามบินหาดใหญ่ และมีแผนจะเพิ่มที่สนามบินนราธิวาส

ความสำคัญของการประกอบพิธีฮัจญ์คือ การเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทั้งชายและหญิง ทุกคนที่มีความสามารถในด้านร่างกาย ทรัพย์สิน และการเดินทาง ที่จะต้องปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในเดือนซุลฮิจญะฮ์ของทุกๆ ปี (เดือนที่ 12 ของปีฮิจเราะห์ศักราช) โดยนักแสวงบุญจะพักอยู่ที่ทุ่งมินา เป็นเวลา 3 วัน เพื่อขอพรและบำเพ็ญตนตามพิธีฮัจย์ หลังจากนั้นจึงเดินทางเข้านครมักกะฮ์ เพื่อเวียนรอบ กะอ์บะฮ์ หรืออาคารหินที่ตั้งอยู่ใจกลางมัสยิดอัลฮะรอม ถือเป็นมัสยิดที่สำคัญที่สุดและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม หลังจากนั้นผู้แสวงบุญจะเดินจากเนินเขาศอฟา สู่เนินเขามัรวะห์ ซึ่งมีระยะทาง 450 เมตร ไปมาจนครบ 7 เที่ยว ระหว่างที่เดินก็จะกล่าวคำขอพรและคำวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเสร็จสิ้นพิธีนี้แล้วจะขริบผมหรือโกนผม

ส่วนชาวมุสลิมทั่วโลกที่ไม่ได้ไปประกอบพิธีฮัจย์ก็จะเฉลิมฉลองทำบุญเลี้ยงอาหารที่บ้าน เรียกวันนี้ว่าวันอีดิลอัฎฮา ซึ่งเป็นวันที่ 10 ของเดือนที่ 12 ของปีฮิจเราะห์ศักราช เป็นวันเฉลิมฉลองมีการเชือดสัตว์พลีให้ผู้คนรับประทานในยามสายหลังตะวันขึ้น แต่ก่อนเที่ยง หรือชาวไทยเชื้อสายมลายูใน 5 จังหวัดภาคใต้เรียกว่าวันรายอ (รายาฮาญี) ซึ่งแปลเป็นไทยตามตรงก็คือ “วันใหญ่” ปีนี้ตรงกับวันที่ 7 มิถุนายน 2568  

นายอนุทิน กล่าวว่า จากมาตรการต่างๆ ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอและ ครม. ให้การอนุมัติ ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปแสวงบุญฮัจย์ของพี่น้องไทยมุสลิมลดลง จะเหลือเพียงประมาณ 1.8 แสนบาทเท่านั้น ในขณะที่ระดับคุณภาพไม่ลดลงกว่าเดิม เป็นคุณูปการกับพี่น้องชาวไทยมุสลิมเป็นอันมาก เพราะที่ผ่านมาพี่น้องบางรายต้องเสียเงินถึง 3 แสนบาท บางรายถูกฉ้อโกง ถูกหักหัวคิว ต่อไปนี้ทุกท่านที่ไปแสวงบุญ จะได้ไปทำบุญโดยไม่ต้องมีความกังวลหรือคุณข้องหมองใจ และต้องไม่มีการทุจริตเป็นอันขาด

ด้านนางสาวซาบีดา กล่าวว่า ปี พ.ศ. 2568 นี้ประเทศไทยมีผู้แสวงบุญชาวไทยจำนวน 6,603 คน โดยจะได้รับการอำนวยความสะดวกจากกระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิด “Hajj 5G 5Good” ได้แก่ Good Price (ราคาดี) Good Service (บริการดี) Good Care (เอาใจใส่ดี) Good Health (สุขภาพดี) และ Good Relations (ความสัมพันธ์ดี) ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายพื้นฐานต่อคนลดลงจากเดิม 250,000 บาท เหลือ 173,000-187,000 บาท เป็นผลจากการเจรจาลดค่าบริการพื้นฐาน ค่าตั๋วเครื่องบิน และการอนุญาตให้ใช้เที่ยวบินพาณิชย์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี อีกทั้งกระทรวงมหาดไทยยังมีมาตรการสำคัญ โดยจะควบคุมค่าใช้จ่ายฮัจย์ไม่ให้เกิน 195,000 บาทต่อราย ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เดินทาง ณ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ

(2 มี.ค. 68) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบสุขภาพเพื่ออำนวยความสะดวกชาวไทยที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยจะมีชาวไทยที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ จำนวน 6,603 คน ภายใต้แนวคิด HEALTH for HAJJ” กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดให้บริการในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นและไข้หวัดใหญ่ก่อนเดินทาง พร้อมส่งทีมแพทย์ดูแลระหว่างประกอบพิธีและติดตามเฝ้าระวังสุขภาพหลังเดินทางกลับ ผู้แสวงบุญในจังหวัดต่างๆ สามารถติดต่อขอรับบริการได้ ณ สถานบริการกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ ได้ตั้งแต่บัดนี้ – 31 พฤษภาคม 2568

รัฐบาลให้ความสำคัญในการจัดระบบดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์เป็นประจำทุกปี ซึ่งแต่ละปีมีชาวไทยมุสลิมได้รับโควตาประมาณ 13,000 คน โดยในปีนี้ดำเนินการภายใต้กรอบแนวคิด “HEALTH for HAJJ” ซึ่งผู้ที่จะเดินทางไปแสวงบุญทุกคนจะได้รับการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพก่อนการเดินทาง ทั้งการตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคและออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดสรรวัคซีนให้กับหน่วยงานสาธารณสุขทุกพื้นที่ที่มีผู้แสวงบุญลงทะเบียนไปประกอบพิธีฮัจย์แล้ว อีกทั้งได้จัดส่งทีมแพทย์พยาบาลไปดูแลสุขภาพในระหว่างการประกอบพิธีและเฝ้าระวังติดตามสุขภาพภายหลังเดินทางกลับมายังประเทศไทยด้วย

การดูแลส่งเสริมสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปแสวงบุญ นอกจากจะเป็นความร่วมมือกันในการรักษาความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนคนไทยทุกศาสนาแล้วยังเป็นการแสดงถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านการสาธารณสุขระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียและช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ของทั้งสองประเทศกำลังขยายตัวไปด้วยดี

สำหรับการประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประจำปี 2568 หรือฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) 1446 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 9 มิถุนายน 2568 ปีนี้มีชาวไทยมุสลิมที่ลงทะเบียนพร้อมเดินทางไปประกอบพิธี จำนวน 6,603 คน ซึ่งผู้แสวงบุญทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นก่อนการเดินทางอย่างน้อย 10 วัน ตามข้อกำหนดของกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ ของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

การจัดระบบดูแลสุขภาพสำหรับชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในปี 2568 ภายใต้แนวคิด HEALTH for HAJJ” มีวัตถุประสงค์ ดังนี้

1. เพื่อให้ชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางและการประกอบพิธี

2. เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

การดำเนินการภายใต้กรอบแนวคิด “HEALTH for HAJJ”

  • การตรวจสุขภาพ: การตรวจสุขภาพก่อนเดินทางเพื่อประเมินความพร้อมในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์
  • การฉีดวัคซีน: ผู้แสวงบุญที่ลงทะเบียนเดินทางไปฮัจย์ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น ก่อนเดินทางอย่างน้อย 10 วัน ตามข้อกำหนดของกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียและฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคติดต่ออื่นๆ
    ที่เหมาะสม โดยกระทรวงสาธารณสุขจะออกหนังสือรับรองการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค เพื่อประกอบการขอรับการตรวจลงตรา (วีซ่า)
  • การเฝ้าระวังและดูแลหลังการเดินทาง: กระทรวงสาธารณสุขได้จัดส่งทีมแพทย์พยาบาลไปดูแลผู้แสวงบุญในระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์ รวมทั้งเฝ้าระวังสุขภาพหลังกลับมายังประเทศไทย

การดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญในช่วงก่อน ระหว่าง และหลัง การประกอบพิธีฮัจย์

การจัดการดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ มีกระบวนการที่มีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบและรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อและเพื่อรักษาความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้แสวงบุญในระหว่างการเดินทางและการประกอบพิธีฮัจย์ โดยดำเนินการทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลัง การประกอบพิธีฮัจย์ ดังนี้

ก่อนการประกอบพิธีฮัจย์

กระทรวงสาธารณสุข จะเริ่มต้นด้วยการคัดกรองสุขภาพของผู้แสวงบุญที่ลงทะเบียนเดินทางไปฮัจย์ทุกคน โดยการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อประเมินความพร้อมทางร่างกายและสุขภาพก่อนการเดินทาง นอกจากนี้ผู้แสวงบุญทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่จำเป็น เช่น วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ ตามที่แนะนำ เพื่อป้องกันโรคติดต่อที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งการฉีดวัคซีนจะได้รับการจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอในแต่ละพื้นที่ที่มีการลงทะเบียนผู้แสวงบุญ

ระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์

ในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดส่งทีมแพทย์และพยาบาลติดตามการเดินทางของผู้แสวงบุญไปยังราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยทีมแพทย์จะทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของผู้แสวงบุญที่อาจมีอาการเจ็บป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพในระหว่างการประกอบพิธี โดยมีการติดตามสถานการณ์สุขภาพและการให้คำแนะนำแก่ผู้แสวงบุญอย่างใกล้ชิดถึงที่พักอาศัยขณะพำนักอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย ให้การรักษาผู้แสวงบุญที่เจ็บป่วยในสำนักงานแพทย์เพื่อกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย หากผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์เฉพาะ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะดำเนินการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในประเทศซาอุดีอาระเบียโดยทันที

หลังจากการประกอบพิธีฮัจย์

หลังจากเสร็จสิ้นการประกอบพิธีฮัจย์ ผู้แสวงบุญจะได้รับการติดตามอาการทางสุขภาพจากกระทรวงสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่อาจมีการติดมากับผู้เดินทาง รวมถึงการตรวจสุขภาพและให้คำแนะนำการดูแลตัวเองหลังจากกลับมายังประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง