นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” ครั้งที่ 43 ระหว่างวันที่ 26 – 30 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ฮอลล์ 1 – 4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นงานท่องเที่ยวระดับชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ สร้างการรับรู้เอกลักษณ์ของพื้นที่ทุกภูมิภาค
งาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” ครั้งนี้ จัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภายใต้แนวคิด พลิกโฉมการท่องเที่ยวไทยสู่มิติใหม่ ขับเคลื่อนแนวคิด Carbon Neutral Tourism เพื่อยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแคมเปญพิเศษ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sport Year 2025” โดยจะมีการนำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว “5 Must Do in Thailand” ได้แก่ สินค้า MUST TASTE, MUST TRY, MUST BUY, MUST SEEK และ MUST SEE ที่คงความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของแต่ละภูมิภาค ทั้งด้านวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต อาหาร และภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ่านโซนนวัตกรรมต่างๆ ภายในงานที่มีความหลากหลาย เสมือนเป็นการรวบรวมความมหัศจรรย์ของเมืองไทยเอาไว้ในงานเดียวภายในงานประกอบด้วย 9 โซนหลัก ที่ได้นำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว ทั้ง 5 ภูมิภาค พร้อมด้วยหลากหลาย Landmark และกิจกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอวัฒนธรรมไทยด้วยนวัตกรรม รวมถึงส่งเสริมแนวคิด Sustainable Tourism ได้แก่
โซนที่ 1 Amazing Thailand : สุขทันที 65 ปี ททท. พบประสบการณ์เหนือระดับกับแลนด์มาร์กนิทรรศการ ททท. 65 ปี ในรูปแบบ Team Lab และตื่นตาตื่นใจไปกับจอภาพวีดีโอ 3 มิติเคลื่อนไหวเสมือนจริง พร้อมย้อนวันวานสู่ยุคก่อตั้ง ททท. และทดลองถ่ายภาพสุดคลาสสิก
โซนที่ 2 : หมู่บ้านภาคตะวันออก เปิดประสบการณ์ความมหัศจรรย์ของ 9 จังหวัดภาคตะวันออก ผ่านแนวคิด “5 Must Do in the East” โดดเด่นด้วยแลนด์มาร์กอาณาจักรผีเสื้อแห่งผืนป่าตะวันออก อุทยานแห่งชาติปางสีดา และอุทยานแห่งชาติตาพระยา จ.สระแก้ว พร้อมจุดถ่ายภาพซุปตาร์ที่โด่งดังไปทั่วโลก “น้องหมูเด้ง” ความสูง 2 เมตร และจุดชมนกนางนวลบางปู จ.สมุทรปราการ และยกทัพอาหารทะเลและอาหารถิ่นมากว่า 50 ร้าน
โซนที่ 3 : หมู่บ้านภาคกลาง พร้อมเปิดบ้านต้อนรับด้วยแนวคิด “5 Must Do in Central Thailand” เที่ยวใกล้ เที่ยวง่าย เที่ยวได้ตลอดปี ชวนย้อนวันวานเป็นคนกรุงสุดโก้ในบรรยากาศสถานีรถไฟหัวลำโพงและโบกี้รถไฟ SRT Royal Blossom จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่สุดแสนคลาสสิก และจำลองพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นแลนด์มาร์ก ไอคอนิคที่มาพร้อมกิจกรรมถ่ายภาพสตูดิโอย้อนยุค ภายในหมู่บ้านจัดไฮไลต์ โซนร้านตลาดถนนคนเดิน
โซนที่ 4 : หมู่บ้านภาคเหนือ ชวนสัมผัสเสน่ห์เมืองล้านนา ผ่าน “5 Must Do in Northern Thailand” ที่มาพร้อมการตกแต่งบรรยากาศสไตล์ Modern Lanna พบแลนด์มาร์กจอ LED ขนาดยักษ์ ฉายภาพแหล่งท่องเที่ยวและ 3D Animation จำลองเทศกาลสงกรานต์ภาคเหนือ ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง จ.เชียงใหม่ จัดเต็มอาหารพื้นเมืองเหนือ และอาหารถิ่นที่หาทานยาก
โซนที่ 5 : หมู่บ้านภาคใต้ หล๊บเรินปักษ์ใต้บ้านเฮากับแนวคิด “5 Must do in Thailand : GO SOUTH” เสิร์ฟอัตลักษณ์พหุวัฒนธรรมตั้งแต่แลนด์มาร์กป้าย SOUTHERN Village กับน้องโลมาสีชมพู และ วงเวียนสุรินทร์จังหวัดภูเก็ต วังยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และซุ้มประตูสีสันลายผ้าปาเต๊ะ ผ้าบาติก และลูกปัดโนรา อาหารใต้ และร่วม “รำวงเวียนครก” ย้อนยุคทุกวัน ในเวลา 18.00-19.00 น.
โซนที่ 6 หมู่บ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลงรักถิ่นอีสานไปกับแนวคิด บอกเล่า “ประเพณีสีอีสาน วิถีแห่ง ศรัทธา” ของพื้นที่ราบสูง 20 จังหวัด ภายใต้แนวคิด 5 Must Do in Isan สะท้อนงานบุญเดือนสิบ จ.ชัยภูมิ งานบุญกระธูป จ.ชัยภูมิ มาลัยข้าวตอก จ. ยโสธร และผีตาโขน จ.เลย อาหารแซ่บนัวในโซน Must Taste “หม่องแซ่บนัว”
และชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสานที่หาชมได้ยาก
โซนที่ 7 : พันธมิตรและห้าง ททท.
โซนที่ 8 : เวทีกลาง เพิ่มดีกรีความสนุกด้วยการแสดงดนตรี ศิลปินที่มีชื่อเสียงและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม
โซนที่ 9 Sustainable Tourism Goals ตอกย้ำหมุดหมายของการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวยั่งยืน การท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ พบไฮไลต์แลนด์มาร์ก วาฬบรูด้า ประติมากรรมขยะพลาสติก กว่า 90 กิโลกรัม และสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่ง Low Carbon Life Style และ New Trends Sustainable Tourism
ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้สนใจ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Amazing Thailand ซึ่งจะมีฟังก์ชันแผนที่ 3D และระบบนำทาง AR ช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถเห็นผังการจัดงานแบบ 3 มิติ หาจุดแลนด์มาร์ก บูธ หรือร้านค้า ภายในงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ตลอดจนสามารถดูตารางกิจกรรมเวทีหลัก พร้อมแจ้งเตือนล่วงหน้าหากมีกิจกรรมที่สนใจ รวมทั้งชวนร่วมกิจกรรมแลกรับ Art Toy Journey Collection และของที่ระลึกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพียงรับพาสปอร์ตจากบูธ 1672 Travel Buddy ที่โซนที่ 1 Amazing Thailand : สุขทันที 65 ปี ททท. แล้วสะสมยอดค่าใช้จ่ายภายในงาน ระหว่างวันที่ 26-30 มีนาคม 2568 โดยยอดค่าใช้จ่ายครบทุก 100 บาท จะได้รับแสตมป์สะสม 1 คะแนนจากร้านค้า เมื่อสะสมคะแนนในพาสปอร์ตครบตามยอดที่กำหนด สามารถรับของที่ระลึกได้ทันที จำกัดจำนวนพาสปอร์ตเพียง 100 เล่มต่อวันเท่านั้น
นางสาวศศิกานต์ ระบุว่า รัฐบาลเดินหน้าผลักดันแนวทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด และงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ประจำปี 2568 จะเป็นปีที่ 3 ของกิจกรรมลดโลกเลอะ Zero Waste to Landfills เพื่อเป้าหมายไม่ให้เกิดขยะหลงเหลือจากการจัดงาน ลดขยะสู่บ่อฝังกลบซึ่งจะสร้างมลพิษในภายหลัง โดยขยะทุกชนิดจะมีการนำไปกำจัดและใช้ประโยชน์อย่างถูกวิธี และเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงาน ผู้ประกอบการภายในงาน เป็นส่วนหนึ่งในการบริหารทรัพยากรอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
ทางด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานตลอด 5 วันของการจัดงานจำนวน 130,000 คน สร้างการรับรู้ 45 ล้านคน-ครั้ง สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าร่วมงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 43 ประจำปี 2568” วันที่ 26-30 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เข้าร่วมงานฟรี โดยสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, เดินทางโดยรถแท็กซี่ ณ จุดบริการ รับ – ส่ง ชั้น G บริเวณฝั่งทะเลสาบ, รถประจำทาง สาย 136 ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672 Travel Buddy
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และมาตรการสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาลส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีการวางแผนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมาก โดยข้อมูลของ SiteMinder ผู้นำแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายห้องพักและจัดการรายได้ระดับโลก พบว่า เทศกาลสงกรานต์ของประเทศไทย ยังคงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดี โดยปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 86% ของยอดจองโรงแรมที่มีกำหนดเช็กอินระหว่างวันที่ 10-17 เมษายน เพิ่มขึ้น 15% จากข้อมูลยังระบุว่าความนิยมในระดับนานาชาติของเทศกาลสงกรานต์มีส่วนช่วยให้ยอดจองโรงแรมโดยรวมพุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเกาะสมุยซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำของซีรีส์ The White Lotus มียอดจองเพิ่มขึ้นถึง 65% ตามมาด้วยเชียงใหม่ เพิ่มขึ้น 41% และกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 20%
สำหรับระยะเวลาการเข้าพักในโรงแรมทั่วประเทศไทยช่วงสัปดาห์สงกรานต์เพิ่มขึ้น 7.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉลี่ยจาก 2.41 คืน เป็น 2.59 คืน และเกาะสมุยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวเข้าพักนานที่สุด มีระยะเวลาการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.5% จาก 3.74 คืน เป็น 3.80 คืน คาดว่าอัตราค่าห้องพักในโรงแรมบนเกาะสมุยและภูเก็ตจะเพิ่มขึ้น โดยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) เพิ่มขึ้น 38% เป็น 11,073 บาท ในเกาะสมุย และในภูเก็ต เพิ่มขึ้น 8.1% เป็น 5,889 บาท
นายอนุกูล กล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างให้ความสนใจ เทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการการันตีจากยูเนสโกที่ประกาศขึ้นทะเบียนให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) บวกกับมาตรการของรัฐบาลที่นำมากระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดเดือนเมษายน คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ด้านนายสุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder ระบุว่า นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นเทศกาลสงกรานต์ก้าวขึ้นมาเทียบเคียงเทศกาลสำคัญอื่น ๆ ทั่วโลกในการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของระยะเวลาการเข้าพักและระยะเวลาการจองล่วงหน้า ซึ่งขับเคลื่อนโดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในช่วงสงกรานต์นี้ แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่ผู้คนทั่วโลกมีต่อเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี