นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยสถานการณ์พายุโซนร้อนกำลังแรง “คาจิกิ (KAJIKI)” ว่า ขณะนี้พายุอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ห่างจากเมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม ประมาณ 570 กิโลเมตร เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกด้วยความเร็ว 20 กม./ชม. มีแนวโน้มทวีความแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และจะอ่อนกำลังลงหลังขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 25–26 สิงหาคม 2568
จากอิทธิพลของพายุ คาดว่าจะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น ฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ พร้อมลมแรงในภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 24–27 สิงหาคมนี้
นายภูมิธรรม ระบุว่า ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ให้ประสานงานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดตั้ง War Room เพื่อประเมินสถานการณ์ หากพบความรุนแรงในพื้นที่ใดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการนายอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินตามแผนเผชิญเหตุ ทั้งการอพยพประชาชนไปพื้นที่ปลอดภัยและจัดเตรียมปัจจัยสี่ โดยพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากให้ดำเนินการขุดลอกและกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ตรวจสอบป้ายขนาดใหญ่หรือวัตถุสูงตามกฎหมายอาคาร หากเสี่ยงต่อความเสียหาย ให้รื้อถอนทันที
ทั้งนี้ หากฝนตกหนักหรือฝนตกสะสม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาและพื้นที่ลุ่ม ให้ประสานกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สื่อสารสร้างการรับรู้ผ่านหอกระจายข่าวและทุกช่องทางสื่อสารของหมู่บ้าน/ชุมชน ให้ประชาชนรับรู้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของภาครัฐ รวมทั้งสร้างความรับรู้ระมัดระวังข่าวปลอมที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ จังหวัดที่ติดทะเลทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ต้องติดตามคลื่นสูงหากพบความเสี่ยงให้ดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น ปักธงสัญลักษณ์ห้ามลงเล่นน้ำ กำหนดมาตรการเดินเรือทั้งเรือโดยสารและเรือประมง และหากมีเรือออกจากฝั่ง ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเรือเข้าพื้นที่ปลอดภัย
ขณะที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดี ปภ. เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์พายุ “คาจิกิ” พร้อมประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงความห่วงใยประชาชน ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ประสานทำงานกับ ปภ. ตามแผนเผชิญเหตุ พร้อมเตรียมอพยพประชาชนหากสถานการณ์รุนแรงและดูแลด้านการดำรงชีพให้ดีที่สุด โดยแจ้งเตือน 58 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ดินโคลนถล่ม และคลื่นลมแรง ช่วงวันที่ 24–27 สิงหาคม 2568
นอกจากนี้ ปภ. ได้ตั้ง War Room ที่กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และประชุมทุกวัน โดยกำหนดให้ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก เป็นจุดระดมทรัพยากรหลัก (Staging Area) พร้อมรับการสนับสนุนจากศูนย์ ปภ. เขต 2 สุพรรณบุรี และเขต 16 ชัยนาท ซึ่งได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่พื้นที่แล้ว ทั้งนี้ หากมีการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินให้จังหวัดรายงานข้อมูลมายัง ปภ. โดยเร็ว รวมถึงตรวจสอบวงเงินทดรองราชการ หากไม่เพียงพอให้เร่งดำเนินการขอขยายวงเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนทันที พร้อมรายงานผลการช่วยเหลือและสถานการณ์ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางทราบอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ประสานความร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS, True และ NT เพื่อส่งข้อความแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast เพื่อสื่อสารสถานการณ์อย่างทันท่วงที โดยได้ดำเนินการแล้วในหลายพื้นที่ให้เตรียมพร้อมรับมือ และเน้นย้ำให้มีการอพยพกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ไปยังพื้นที่ปลอดภัยหากจำเป็น รวมทั้งกำชับพื้นที่เสี่ยงจัดมาตรการป้องกันเป็นพิเศษในโรงพยาบาล ชุมชน และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามพยากรณ์อากาศและการแจ้งเตือนภัยจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากประสบเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งได้ทาง Line Official Account “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” (Line ID: @1784DDPM) หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
ล่าสุด ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง พายุ “คาจิกิ” และฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย ฉบับที่ 11 เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2568 พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางห่างจากเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 200 กิโลเมตร ที่ละติจูด 18.3 องศาเหนือ ลองจิจูด 107.6 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อยด้วยความเร็ว 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะขึ้นฝั่งบริเวณเมืองวิญ ประเทศเวียดนามตอนบนในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 และอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน จากนั้นจะอ่อนกำลังเป็นพายุดีเปรสชันและเคลื่อนเข้าสู่ประเทศลาวช่วงเช้าวันที่ 26 สิงหาคม ก่อนอ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง และเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดน่านในช่วงเย็นวันเดียวกัน
จากอิทธิพลทำให้ในช่วงวันที่ 25-26 สิงหาคม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรง ส่วนภาคเหนือจะได้รับผลกระทบในช่วงวันที่ 25–27 สิงหาคม โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้กับเส้นทางเดินพายุ ได้แก่จังหวัดบึงกาฬ หนองคาย นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย อุตรดิตถ์ น่าน พะเยา แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน สำหรับภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากพายุ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ระมัดระวังฝนตกหนัก ลมแรง และฝนสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มต่ำ
พื้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมาก
วันที่ 25 สิงหาคม 2568
- ภาคเหนือ: เชียงราย ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์
- ภาคอีสาน: เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหาร นครราชสีมา อุบลราชธานี
- ภาคกลาง: กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม กรุงเทพฯ และปริมณฑล
- ภาคตะวันออก: นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด
- ภาคใต้: เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่
วันที่ 26 สิงหาคม 2568
- ภาคเหนือ: แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์
- ภาคอีสาน: เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี
- ภาคกลาง: นครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี กรุงเทพฯ และปริมณฑล
- ภาคตะวันออก: นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด
- ภาคใต้: เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต
วันที่ 27 สิงหาคม 2568
- ภาคเหนือ: แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร
- ภาคอีสาน: หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี
- ภาคตะวันออก: นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ตราด
- ภาคใต้: ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กในบริเวณดังกล่าวควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย
ขณะเดียวกัน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงลุ่มน้ำโขง จ.หนองคาย และนางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. เป็นประธานการประชุมลุ่มน้ำยม–น่าน จ.น่าน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
ดร.สุรสีห์ เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ให้เตรียมพร้อมรับมือพายุ “คาจิกิ” และพายุที่จะก่อตัวช่วงต้นเดือนกันยายน สทนช. จึงได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าช่วงวันที่ 25–30 สิงหาคม จะมีน้ำไหลเข้าเขื่อนหลักจำนวนมาก โดยเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพลแห่งละกว่า 500 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และเขื่อนน้ำอูนกับหนองหารมากกว่า 100 ล้าน ลบ.ม. จึงได้ปรับแผนระบายน้ำ เช่น เขื่อนสิริกิติ์เพิ่มการระบายจาก 45 เป็น 50 ล้านลบ.ม./วัน ระหว่างวันที่ 23–31 สิงหาคม โดยประสานการจัดการน้ำกับเขื่อนทดน้ำและเขื่อนนเรศวร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการเกษตรและชุมชน รวมทั้งเตรียมใช้ทุ่งลุ่มต่ำ เช่น บางระกำ และบึงบอระเพ็ด หน่วงน้ำก่อนเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ด้านลุ่มน้ำโขงได้สั่งการให้จังหวัดเตรียมรับมือน้ำโขงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดย สทนช. จะประสานงานกับ สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) สปป.ลาว และจีน ในการบริหารจัดการเขื่อนต้นน้ำเพื่อลดผลกระทบ ขณะเดียวกันได้ติดตามแหล่งกักเก็บน้ำที่ยังมีปริมาณสูง เช่น หนองกุดทิง และเขื่อนน้ำอูน เพื่อปรับแผนระบายน้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมเน้นย้ำให้ทุกจังหวัดเตรียมแผนอพยพประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง พร้อมตรวจสอบและซ่อมแซมคันกั้นน้ำ จัดเครื่องจักรและชุดปฏิบัติการเฝ้าระวังทุกจุดเสี่ยง รวมถึงติดตามข้อมูลฝนจาก Radar Composite จากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) เพื่อประเมินและแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที
ทางด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมชลประทานเตรียมพร้อมรับมือน้ำหลาก น้ำท่วมขัง ดินโคลนถล่ม และน้ำล้นตลิ่ง จากอิทธิพลของพายุคาจิกิ ขณะนี้ได้พร่องน้ำจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำล่วงหน้า ตรวจสอบอาคารชลประทาน คันกั้นน้ำ และประตูระบายน้ำ รวมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักรและเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที พร้อมบูรณาการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อลดผลกระทบ โดยย้ำให้กรมชลประทานเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ปรับแผนระบายน้ำให้เหมาะสม และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรเตรียมพร้อมรับมือ
สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ ขณะนี้มีปริมาณรวม 50,913 ล้าน ลบ.ม. หรือ 67% ของความจุอ่างฯ รองรับน้ำได้อีก 25,593 ล้าน ลบ.ม. ส่วนลุ่มน้ำเจ้าพระยาในเขื่อนหลัก 4 แห่ง ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ มีน้ำรวม 17,527 ล้าน ลบ.ม. หรือ 70% ของความจุ ยังรองรับน้ำได้อีก 7,344 ล้าน ลบ.ม.