กองทัพภาคที่ 2 ราชอาณาจักรไทย เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) สมัยวิสามัญ ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 ราชอาณาจักรไทย และภูมิภาคทหารที่ 4 ราชอาณาจักรกัมพูชา ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ การประชุมครั้งนี้ คณะผู้แทนฝ่ายไทยนำโดย พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ประธานร่วมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคฝ่ายไทย และคณะผู้แทนฝ่ายกัมพูชา นำโดย พลโท โปว เฮง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ประธานร่วมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคฝ่ายกัมพูชา
การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมาย เพื่อส่งเสริมการพูดคุยและเพิ่มความเชื่อมั่น เพื่อลดความตึงเครียดและรักษาสันติภาพตามแนวชายแดน โดยใช้ทุกกลไกที่จำเป็นเพื่อแก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ และหลีกเลี่ยงการปะทะบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรภาพและความสามัคคี ด้วยความตั้งใจดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายตกลง ดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายย้ำความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการปฏิบัติตามข้อตกลงในการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC)
สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568
2. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำรงการสื่อสารตามปกติระหว่างกองทัพภาค ภูมิภาคทหาร และหน่วยต่างๆ ตามแนวชายแดนของทั้งสองฝ่าย และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขทุกปัญหาด้วยสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการปะทะ ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มการสื่อสารในทุกระดับเพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจและส่งเสริมความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
3. ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นที่จะงดเว้นจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอม เพื่อลดความตึงเครียด บรรเทาความรู้สึกในเชิงลบของสาธารณชน และมุ่งแสวงหามาตรการที่ปฏิบัติได้จริงเพื่อส่งเสริมบรรยากาศ
ที่เอื้อต่อการเจรจาอย่างสันติ
4. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ขยายขอบเขตและระดับของความขัดแย้ง ซึ่งรวมถึงกิจกรรมที่เป็นการยั่วยุ ไม่ว่าจะโดยฝ่ายทหารหรือฝ่ายพลเรือน อันอาจนำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น เช่น คำปราศรัยที่ปลุกปั่น และกิจกรรมทางทหารที่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของอีกฝ่าย ภายหลังการหยุดยิงเมื่อเวลา 24.00 น. (เวลาท้องถิ่น)
ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568
5. การดำเนินการใดๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงการลาดตระเวน การก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้ง ในลักษณะที่ไม่เป็นการรุกราน และจำกัดอยู่ในพื้นที่ของแต่ละฝ่ายอาจกระทำได้ โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขของการหยุดยิงอย่างเคร่งครัดตามที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุร่วมกัน ในการประชุมพิเศษ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ เมืองปุตราจายา และการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมาตรการเหล่านี้มีเป้าประสงค์เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจ และความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย
6. ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงพัฒนาการเชิงบวกและความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นผ่านการปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ ในการเสริมสร้างความร่วมมือในทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อกลับคืนสู่ภาวะปกติ
7. ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงความสำคัญของการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม และเห็นชอบให้เสนอเรื่องนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เข้าสู่การประชุม GBC ที่จะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน
8. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในหลักการที่จะจัดตั้งชุดประสานงาน (Coordinating Group: CG) เพื่อเสริมสร้างการสื่อสารในทุกระดับ รวมถึงระหว่างผู้บังคับบัญชา คณะทำงานประสานงานชายแดน กองกำลังประจำพื้นที่ชายแดน และหน่วยปฏิบัติการตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขทุกปัญหาด้วยสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการปะทะ โดยรายละเอียดจะได้มีการหารือกันในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ครั้งต่อไป ทั้งนี้ ในระหว่างรอการจัดตั้ง CG ให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยประสานงานในพื้นที่ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งรวมถึงหน่วยประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชาประจำพื้นที่ต่าง ๆ พบปะกันทุกสัปดาห์ หรือตามห้วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง
9. ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความตั้งใจที่จะให้ความร่วมมือและทำงานร่วมกันในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (การหลอกลวงออนไลน์) การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบค้าอาวุธ และกิจกรรมอาชญากรรมข้ามแดนอื่นๆ โดยจะร่วมกันแสวงหามาตรการที่เป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้จริงผ่านกรอบความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว ประเด็นเหล่านี้ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ควรได้รับการพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน
10. ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันถึงความสำคัญของการตอบสนองต่อการประท้วงเกี่ยวกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล และได้ตกลงที่จะนำประเด็นที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เสนอต่อการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) หรือกลไกอื่นที่เหมาะสมตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน
11. ให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ครั้งต่อไปภายในหนึ่งเดือนหลังจากการประชุมครั้งนี้ หรือตามความเหมาะสม โดยมีประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
ทางด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวว่า รัฐบาลเชื่อว่าผลการประชุม RBC ในครั้งนี้จะช่วยลดความตึงเครียด ลดการปะทะและส่งเสริมการรักษาสันติภาพตามแนวชายแดน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความจริงใจของไทย ที่ต้องการลดความตึงเครียดชายแดนและสร้างสันติภาพตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยรัฐบาลพร้อมใช้ทุกกลไกที่เหมาะสมและจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน เป็นสำคัญ
นอกจากนี้ เมื่อเวลา 15.45 น. เกิดเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิด PMN-2 ขณะออกไปเดินลาดตระเวนในเขตปฏิบัติการของฝ่ายไทย ณ บริเวณพื้นที่ด้านขวาของปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นเหตุให้มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 นาย ดังนี้
1. พลทหาร อดิศร ป้อมกลาง สังกัด ร.23 พัน.1 ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาขวาท่อนล่างขาด
2. จ่าสิบเอก ณัฐพงศ์ สีชิน สังกัด ร้อย.อวบ.ที่ 2 สนาม ร้อย.ร.221 มว.3 ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าบริเวณหลัง บาดเจ็บเล็กน้อย
3. พลทหาร ธรรณ์ณธร เทากระโทก ร้อย.อวบ.ที่ 1 สนาม ร้อย.ร.221 มว.3 บาดเจ็บที่ข้อมือซ้าย เบื้องต้นกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ หน่วยในพื้นที่ได้เข้าดำเนินการช่วยเหลือ และนำตัวส่งโรงพยาบาล
เพื่อเข้ารับการรักษาเรียบร้อยแล้ว
กองทัพภาคที่ 2 ขอประณามอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ลักลอบเข้ามาวางกับระเบิดในพื้นที่ปฏิบัติการของฝ่ายไทย โดยกองทัพกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและบั่นทอนความพยายามในการสร้างสันติภาพตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา อีกทั้งยังเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ยังได้รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ประจำวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ตรวจพบความเคลื่อนไหวทหารฝ่ายกัมพูชาในบางพื้นที่ ตรวจพบโดรน พื้นที่ชายแดน
2 ครั้ง 2 ลำ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์
สำหรับการดูแลผู้อพยพ อำนวยความสะดวกประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัย ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน 8 ศูนย์ ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี 4 ศูนย์ 132 คน และในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ศูนย์พักพิงชั่วคราว 4 ศูนย์ 388 คน ปัจจุบันมีจำนวน 520 คน เนื่องจากมีความวิตกกังวล โดยทางฝ่ายปกครองได้จัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน เข้าดูแลพื้นที่บ้านเรือนของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบจากการโจมตีด้วยจรวด BM-21 ของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมสากล ณ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้ลงพื้นที่สำรวจบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากสะเก็ดระเบิด โดยมี นายประภาส ศรีจันทร์เวียง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ แพทย์ พยาบาล หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงร่วมให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอแนวทางช่วยเหลือ โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และกระทรวงมหาดไทย มอบเงินเยียวยา ขณะที่สภากาชาดไทยสนับสนุนงบซ่อมแซมบ้านมูลค่า 800,000 บาท
จากการตรวจสอบโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พบความเสียหาย 3 จุด อาคารภูมิพัฒน์และอาคารที่พักบุคลากรได้รับความเสียหายถึงโครงสร้าง ต้องรื้อสร้างใหม่ คาดวงเงินรวมกว่า 42 ล้านบาท ขณะที่อาคารอีก 3 หลังสามารถปรับปรุงซ่อมแซมได้
ทั้งนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนยังคงเร่งเยียวยาและให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปได้รับทราบสถานการณ์และหารือแนวทางสนับสนุนด้านมนุษยธรรม รวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน