กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่ม
(1 ก.ย. 68) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกประกาศ เรื่อง เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง โดยจากการติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาจากกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ คาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียงในระหว่างวันที่ 4 – 10 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 17.00 – 20.00 น. เป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง อาจมีความสูงประมาณ 1.70 – 2.00 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.30 เมตร ประกอบกับอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุม ทำให้มีฝนตกในบางพื้นที่ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วม เนื่องจากน้ำทะเลหนุน บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม นั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
1. ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบความมั่นคงอาคารป้องกันริมแม่น้ำและเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงบริเวณที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งข้อมูลแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำตามริมแม่น้ำทราบล่วงหน้า
2. เตรียมเครื่องจักรเครื่องมือเพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนได้ทันที
3. ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมปรับแผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์
เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำ และการแก้ปัญหาอุทกภัยเกิดประสิทธิภาพ นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน ได้ประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1 – 17 และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ แม่น้ำสายหลักต่างๆ สำหรับเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบัน (1 ก.ย. 68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 53,401 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) (70% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 23,105 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 18,651 ล้าน ลบ.ม. (75% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้รวมกันอีก 6,220 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากในระยะนี้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น ที่ส่งผลกระทบบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำสะสม 8,147 ล้าน ลบ.ม. (86% ของความจุอ่างฯ) กรมชลประทาน ได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สำหรับเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ กฟผ. แจ้งว่ามีการพิจารณาปรับลดการระบายน้ำเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน ระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2568 ระบายน้ำจากวันละ 50 ล้าน ลบ.ม. เป็นวันละ 25 ล้าน ลบ.ม. โดยให้เขื่อนสิริกิติ์พิจารณาการปรับ เพิ่ม/ลด การระบายน้ำตามสถานการณ์ และให้พิจารณา Side Flow (ปริมาณน้ำที่ควบคุมไม่ได้) และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้านท้ายเขื่อนเป็นหลัก และหากสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติให้กลับมาระบายน้ำ ตามแผนการระบายน้ำตามมติที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร.0-5546-1157 หรือที่เว็บไซต์เขื่อนสิริกิติ์ รวมถึงติดตามข่าวสารผ่านทางเพจ Facebook “กฟผ. เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำป่าสัก ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “หนองฟ้า” ส่งผลให้มีน้ำป่าไหลหลากและน้ำจากแม่น้ำป่าสัก ไหลเข้าท่วมเขตชุมชน ในเทศบาลเมืองหล่มสัก กรมชลประทานได้ลดการระบายน้ำจากทางตอนบน พร้อมปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาสมทบ รวมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือเข้าสูบระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่เมื่อระบายน้ำกลับเข้าสู่ตลิ่ง ปัจจุบันระดับน้ำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง คาดว่าหากไม่มีปริมาณฝนตกเพิ่มในพื้นที่ สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในเร็ววัน
สถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขณะนี้มีปริมาณน้ำจากตอนบนไหลลงมาสมทบ ประกอบกับมีฝนตกกระจายตัวในพื้นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ที่สถานีวัดระดับน้ำ C2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,628 ลบ.ม.ต่อวินาที แนวโน้มเพิ่มขึ้น กรมชลประทาน ได้รับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ตามศักยภาพของลำคลอง และทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในอัตรา 1,350 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อเพิ่มช่องว่างในการรองรับน้ำจากทางตอนบนและฝนที่ตกเพิ่มในช่วงสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ (1 – 7 ก.ย. 68) ประเทศไทยยังมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จึงยังต้องเฝ้าระวังน้ำหลากจากฝนที่ตกสะสม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง (พิจิตร สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์) จึงได้กำชับไปยังโครงการชลประทานทุกพื้นที่ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งพิจารณาปรับการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อท้ายเขื่อน รวมทั้งหมั่นตรวจสอบอาคารชลศาสตร์และกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบหมายเจ้าหน้าที่จัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือประจำจุดเสี่ยง เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนร่วมบูรณาการกับผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับรู้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้แจ้งเตือนประชาชนเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์ จะปรับเพิ่มการระบายน้ำ จาก อัตรา 100 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น อัตรา 200 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ในอัตราวันละ 20 ลบ.ม.ต่อวินาที ทั้งนี้จะเริ่มดำเนินการ ในวันที่ 2 กันยายน 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักจะเพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณ 0.80 – 1.00 เมตร โดยระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นยังอยู่ในลำน้ำ ไม่เกิดสภาวะน้ำล้นตลิ่งแม่น้ำป่าสัก
(2 ก.ย. 68) ขณะที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานเมื่อเวลา 06.00 น. สถานการณ์อุทกภัยและดินสไลด์ จากอิทธิพลพายุ “คาจิกิ” ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย และ พิษณุโลก ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,979 ครัวเรือน 6,390 คน ดังนี้
1. จังหวัดเชียงใหม่ เกิดฝนตกหนักทำให้ดินสไลด์ในพื้นที่ อำเภอแม่แจ่ม ประชาชนได้รับผลกระทบ 769 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหาย 157 หลังคาเรือน มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 ราย มีผู้สูญหาย
2 ราย ปัจจุบันอยู่ระหว่างค้นหาผู้สูญหาย
2. จังหวัดแม่ฮ่องสอน เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ อำเภอเมือง ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,801 ครัวเรือน ได้รับความเสียหาย 62 หลังคาเรือน 2,570 คน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย สูญหาย 1 ราย ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว และเร่งค้นหาผู้สูญหาย และเปิดเส้นทางการจราจร
3. จังหวัดสุโขทัย เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง ศรีสัชนาลัย สวรรคโลก ศรีนคร ศรีสำโรง และบ้านด่านลานหอย บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 373 ครัวเรือน 1,380 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันแม่น้ำยมระดับน้ำลดลง และวันที่ 31 สิงหาคม 2568 เวลา 20.30 น. เกิดดินสไลด์ริมตลิ่งแม่น้ำยมในพื้นที่ ต.ท่าชัย ต.ศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 4 หลัง ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
4. จังหวัดพิษณุโลก เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.ชาติตระการ และเนินมะปราง ประชาชนได้รับผลกระทบ 36 ครัวเรือน 133 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันแม่น้ำยมระดับน้ำเพิ่มขึ้น
ส่วนสถานการณ์อุทกภัยและดินสไลด์ จากอิทธิพลพายุ “หนองฟ้า” ทำให้เกิดฝนตกหนัก ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2568 – ปัจจุบัน ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ ลำพูน ตาก ขอนแก่น เลย หนองบัวลำภู และชุมพร ประชาชนได้รับผลกระทบ 10,038 ครัวเรือน 35,505 คน ดังนี้
1. จังหวัดเพชรบูรณ์ เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.หล่มเก่า น้ำหนาว หล่มสัก อำเภอเมืองฯ และหนองไผ่ บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 7,747 ครัวเรือน 28,194 ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันแม่น้ำป่าสักระดับน้ำลดลง
2. จังหวัดอุตรดิตถ์ เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นอ่างเก็บน้ำคลองตรอนเข้าท่วมในพื้นที่ อ.ทองแสนขัน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
3. จังหวัดเลย เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้มีน้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอ ภูหลวง ภูกระดึง วังสะพุง ด่านซ้าย และอำเภอเมืองฯ ประชาชนได้รับผลกระทบ 653 ครัวเรือน 1,251 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันแม่น้ำเลยระดับน้ำลดลง
4. จังหวัดขอนแก่น เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้มีน้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.ภูผาม่าน บ้านไผ่ น้ำพอง ชุมแพ และ สีชมพู ประชาชนได้รับผลกระทบ 164 ครัวเรือน 607 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
5. จังหวัดหนองบัวลำภู เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ ศรีบุญเรือง โนนสัง สุวรรณคูหา และ นาวัง ประชาชนได้รับผลกระทบ 85 ครัวเรือน 315 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
6. จังหวัดตาก เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอสามเงา และอำเภอเมืองฯ ประชาชนได้รับผลกระทบ 20 ครัวเรือน 74 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำแม่น้ำวังทรงตัว
7. จังหวัดลำพูน เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ อำเภอ ลี้ ประชาชนได้รับผลกระทบ 25 ครัวเรือน 92 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง
8. จังหวัดชุมพร เกิดฝนตกหนักทำให้มีดินสไลด์ในพื้นที่ อำเภอหลังสวน ประชาชนได้รับผลกระทบ 31 ครัวเรือน 114 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปัจจุบันระดับน้ำลดลง