กรมควบคุมโรคแนะวิธีป้องกันตนเอง “กันยาใส่ใจ ห่างไกลโรคและภัยสุขภาพ”

แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค แถลงข่าวในหัวข้อ “กันยาใส่ใจ ห่างไกลโรคและภัยสุขภาพ” พร้อมแนะนำวิธีป้องกันตนเองจากโรคและภัยสุขภาพ

โดย 10 โรคติดต่อที่พบบ่อยใน 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ โรคมือเท้าปาก อาหารเป็นพิษ โรคโควิด 19 โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัส RSV โรคสุกใส โรคซิฟิลิส ส่วนโรคที่พบผู้เสียชีวิตบ่อยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคเมลิออยโดสิส โรคไข้หูดับ โรคเลปโตสไปโรสิส โรคปอดอักเสบ โรคโควิด 19 โรคไข้เลือดออก โรคอุจจาระร่วง โรคไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2568 พบผู้ป่วยสะสม 486,562 คน ผู้เสียชีวิต 57 คน ในผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัว 36 คน เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนมากที่สุด คือ 5 – 9 ปี ทั้งนี้ สายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุดระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน คือ A/H3N2

โรคปอดอักเสบ วันที่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2568 พบผู้ป่วยสะสม 298,223 คน ผู้เสียชีวิต 504 คน กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนมากที่สุด คือ แรกเกิด – 4 ปี และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไป

โรคติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus : RSV) เป็นสาเหตุของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งในปี 2568 พบผู้ป่วย 8,473 คน ผู้เสียชีวิต 1 คน กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชาการแสนคนมากที่สุด คือ แรกเกิด – 4 ปี แนวโน้มผู้ป่วยยังคงเพิ่มสูงขึ้นและสูงกว่าปี 2567 ทั้งนี้ การติดเชื้อไวรัส RSV สามารถติดต่อได้ผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น ฯลฯ เชื้อ RSV สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมง มีระยะฟักตัวอยู่ที่ 2 – 8 วัน ทั้งนี้ การรักษาโรค RSV ในปัจจุบันเป็นการรักษาตามอาการ ยังไม่มียาต้านไวรัสที่จำเพาะ แต่ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันในผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันในเด็กเล็กและกลุ่มเสี่ยง สามารถสอบถามเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้รักษาได้

คำแนะนำสำหรับโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจ ปฏิบัติตามมาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” คือ ปิด เมื่อไอหรือจาม ควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากจมูกทุกครั้ง หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย ล้าง ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ หรือหลังเข้าห้องน้ำ เลี่ยง หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรืออยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือ หยุด เมื่อมีอาการป่วย ควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมต่างๆ จนกว่าจะหายดี แนะนำ 7 กลุ่มเสี่ยง เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นประจำทุกปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการ

โรคมือเท้าปาก วันที่ 1 มกราคม – 9 กันยายน 2568 มีผู้ป่วยสะสม 73,517 คน ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ แรกเกิด – 4 ปี ทั้งนี้ โรคมือเท้าปากมักเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enterovirus มีระยะฟักตัว 3 – 5 วัน สามารถติดต่อทางตรงได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย และติดต่อทางอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น และจุดสัมผัสร่วมกันที่อาจเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำดื่ม ราวบันได แนะนำประชาชนปฏิบัติ ดังนี้

1. สอนให้เด็กล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อย ๆ ก่อนรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม หลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังสัมผัสสิ่งสกปรก

2. ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น

3. หลีกเลี่ยงการนำเด็กเข้าไปในสถานที่แออัด ในช่วงที่มีการระบาด

4. หากพบบุตรหลานป่วย ควรแยกออกจากเด็กอื่นในครอบครัวและพาไปพบแพทย์

5. หากเด็กป่วยควรหยุดเรียนตามคำแนะนำของแพทย์ หรือจนกว่าจะพ้นระยะของการแพร่เชื้อ 

คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา 

1. คัดกรองเด็กนักเรียนก่อนเข้าสถานศึกษา และแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กปกติ

2. หากพบว่าเด็กป่วย ควรแจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับไปดูแลรักษาที่บ้านจนกว่าจะหาย

3. จัดให้มีอ่างล้างมือ และสบู่ล้างมือให้เพียงพอ

4. หากพบเด็กป่วยตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป ในห้องเดียวกันภายใน 1 สัปดาห์ ให้ปิดห้องเรียนอย่างน้อย 1 วัน เพื่อทำความสะอาด

5. ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสในห้องเรียน สิ่งของเครื่องใช้ ของเล่น ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือโซเดียมไฮโปรคลอไรด์ และควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบทราบ

โรคไข้เลือดออก ในปี 2568 พบผู้ป่วย 42,187 คน ผู้เสียชีวิต 44 คน ปัจจัยเสี่ยงในผู้ป่วยเสียชีวิตคือ มีโรคประจำตัว ได้รับยา NSAIDs (หรือ Non–Steroidal Anti–Inflammatory เป็นกลุ่มยาแก้อักเสบชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ที่มักใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวด บวม หรืออักเสบ เช่น แก้ปวด ลดไข้ รักษาโรคข้ออักเสบต่าง ๆ) ไปโรงพยาบาลช้า ติดสุรา และมีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยเรียน แต่อัตราป่วยตายสูงในอายุ 45 ปี ขึ้นไป

โรคชิคุนกุนยา (โรคไข้ปวดข้อยุงลาย) ปี 2568 พบผู้ป่วย 1,064 คน ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยมากที่สุด คือ 35 – 44 ปี ทั้งนี้ มีการพบผู้ป่วยสูงกว่าปี 2567 ถึง 2.4 เท่า โดยพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน
ที่จังหวัดเชียงใหม่ บึงกาฬ ลำพูน และอุดรธานี

โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ปี 2568 พบผู้ป่วย 175 คน กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยมากที่สุด คือ 25 – 34 ปี และพบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไวรัสซิกาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค อาการที่พบบ่อย คือ ไข้ต่ำ ๆ ผื่นแดง ปวดข้อ ตาแดง และอ่อนเพลีย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ อาจส่งผลให้ทารกมีภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิด และความผิดปกติของสมองหลังคลอด ส่งผลต่อพัฒนาการระยะยาว แนะประชาชน สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ใช้ยาทากันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากไวรัสซิกาสามารถติดต่อจากน้ำอสุจิหรือ
สารคัดหลั่งของผู้ป่วยได้

คำแนะนำสำหรับโรคติดต่อนำโดยยุงลาย ทายากันยุง ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด นอนในมุ้ง หากมีไข้สูง 1 – 2 วัน รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หรือมีผื่นจุดแดงขึ้นตามตัว ควรรีบไปพบแพทย์ และห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่นนอกจากพาราเซตามอล

โรคไข้หวัดนก สถานการณ์ทั่วโลก ปี 2568 มีผู้ป่วยสะสม 27 คน ผู้เสียชีวิตสะสม 9 คน สำหรับประเทศไทยความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง แนะประชาชน รับประทานอาหารที่ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกรหรือโคนม ที่ป่วยหรือตายผิดปกติ ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส หากพบสัตว์ปีกป่วยตายจำนวนมาก ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด ต้องหมั่นติดตามข่าวสารการระบาดของพื้นที่ที่จะเดินทางไป ทำประกันสุขภาพสำหรับเดินทาง กรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศให้สังเกตอาการตนเอง หากมีอาการป่วยคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ภายใน 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง

โรคโปลิโอ ปี 2568 เดือนสิงหาคม มีรายงานว่าพบผู้ป่วยเชื้อโปลิโอชนิด cVDPV1 ที่แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยประเทศไทยพบผู้ป่วยโปลิโอรายสุดท้ายในปี 2540 ทั้งนี้ โรคโปลิโอเป็นโรคที่เกิดขึ้นในคนเท่านั้น เชื้อจะอาศัยอยู่ในลำไส้และถูกขับออกมาจากอุจจาระของผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการใด ๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ในกรณีรุนแรงเชื้อไวรัสจะเข้าทำลายระบบประสาทไขสันหลังและสมอง ทำให้เกิดอาการอัมพาตได้ ปัจจุบันโรคโปลิโอยังไม่มียารักษาให้หายขาดเป็นการรักษาตามอาการ 

แนะประชาชน 

1. ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ซึ่งเป็นการป้องกันที่สำคัญที่สุด โดยแนะนำให้รับวัคซีนชนิดฉีด (IPV) จำนวน 2 ครั้ง ในเด็กอายุ 2 และ 4 เดือน และให้วัคซีนชนิดรับประทาน (OPV) จำนวน 3 ครั้ง ในเด็กอายุ 6 เดือน 1 ปี 6 เดือน และ 4 ปี

2. สำหรับเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนล่าช้า ควรเข้ารับวัคซีนให้ครบเร็วที่สุด ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้านทุกแห่ง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการเกิดโรค สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ หากมีประวัติรับวัคซีนไม่ครบ แนะนำรับวัคซีนกระตุ้น 1 ครั้ง ก่อนเดินทางอย่างน้อย 4 สัปดาห์

โรคเลปโตสไปโรสิส (โรคไข้ฉี่หนู) วันที่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2568 ผู้ป่วยสะสม 2,631 คน ผู้เสียชีวิต 32 คน กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ 60 ปีขึ้นไป 

แนะประชาชน 

1. สวมรองเท้าบู๊ตขณะลุยน้ำท่วมขังหรือย่ำดินแฉะ และหากต้องทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลด ควรสวมถุงมือยางร่วมด้วย

2. หลังทำความสะอาดบ้านหรือลงแช่น้ำให้รีบล้างมือ ล้างเท้า หรืออาบน้ำด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที

3. หากพบว่ามีไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตัวหรือปวดกล้ามเนื้อ หลังเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือ
ลงแช่น้ำ ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำย่ำโคลนให้แพทย์ทราบ

โรคเมลิออยโดสิส (โรคไข้ดิน) วันที่ 1 มกราคม – 29 สิงหาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 2,782 คน ผู้เสียชีวิต 130 คน พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป 

แนะประชาชน 1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรงหากจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง กางเกงขายาวหรือชุดลุยน้ำ

2. หลังสัมผัสดินและน้ำให้ทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที

3. รับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำในบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานหรือน้ำต้มสุก

4. หลีกเลี่ยงการสูดดมลมฝุ่นและการอยู่กลางสายฝน

5. หากมีอาการไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน มีประวัติการสัมผัสดินและน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที

ไฟดูด ไฟช็อต ปี 2568 มีผู้บาดเจ็บ 1,603 คน ผู้เสียชีวิต 88 คน พบผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตมากที่สุด
ในกลุ่มอายุ 25 – 29 ปี แนะประชาชน ยึดหลัก 4 ย. “โยก ย้าย อย่า หยุด” โยก คือ โยกปิดสายไฟลงทันที
เมื่อเกิดน้ำท่วม ย้าย คือ ย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนน้ำท่วม เพราะอาจมีกระแสไฟฟ้ารั่ว อย่า คือ อย่าแตะสวิตช์ไฟ ไม่เดินเข้าใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสาเหล็กที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า ขณะที่ร่างกายเปียก หยุด คือ หยุดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่น้ำท่วม ควรให้ช่างตรวจสอบก่อน

ฟ้าผ่า ปี 2568 มีผู้บาดเจ็บ 58 คน ผู้เสียชีวิต 5 คน พบผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในกลุ่มอายุ 45 – 49 ปี แนะประชาชน 

1. เมื่อฝนกำลังจะตกให้กลับเข้าที่พัก

2. หากอยู่ในรถให้ปิดกระจกให้มิดชิด

3. ห้ามอยู่ใกล้ต้นไม้ เสาไฟฟ้าหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่

4. หากหาที่หลบไม่ได้ให้นั่งยอง ๆ ก้มศีรษะให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด เท้าชิดกัน และเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ใช้มือปิดหู

5. หลีกเสี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในขณะที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง

นอกจากนี้ ในวันที่ 29 กันยายนของทุกปี เป็น วันหัวใจโลก โดยในปี 2568 นี้ สมาพันธ์หัวใจโลกได้กำหนดประเด็นการรณรงค์ คือ Don’t miss a beat : อย่าพลาดจังหวะหัวใจ เพราะการดูแลหัวใจทุกวินาที
มีค่าและทุกจังหวะหัวใจคือชีวิต มุ่งเน้นให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ทั้งนี้จากสถานการณ์ทั่วโลกพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 20.5 ล้านคน และ 1 ใน 5 เป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่สามารถป้องกันได้ สำหรับประเทศไทย มีผู้ป่วยสะสมโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 2.6 แสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี 

แนะประชาชน 

1. รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ตามหลัก 2:1:1 คือ ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน ลดไขมัน โซเดียม และน้ำตาล

2. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

3. งดสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

4. ควรจัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง