นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในเวที “The Rule of Law Forum ครั้งที่ 3” โดยงานจัดภายใต้หัวข้อ “การฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรม เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Institutional Readiness for Thailand’s Competitiveness) ซึ่งจัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (Thailand Institute of Justice : TIJ) ร่วมกับ The World Justice Project (WJP) และสำนักข่าว The Standard
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีได้ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรม นอกจากนี้ ดร. Tatyana Teplova หัวหน้าที่ปรึกษาอาวุโสด้านความยุติธรรมจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) และนาย Mark Lewis หัวหน้าฝ่ายความร่วมมือภาครัฐจากโครงการยุติธรรมโลก (World Justice Project : WJP) ได้กล่าวรายงานสะท้อนความสำคัญของเวทีนี้ที่เป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนมุมมองด้านหลักนิติธรรม ในฐานะกลไกสำคัญต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยงานนี้มีเครือข่ายผู้บริหารหน่วยงานด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนาจากภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ภาคเอกชน ภาควิชาการ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมงานประมาณ 200 คน
นายอนุทิน กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “หลักนิติธรรม: วาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของไทย” โดยย้ำว่า “หลักนิติธรรม” เป็นคำที่ถูกอ้างถึงบ่อยแต่กลับมีผู้นำไปใช้ผิดเช่นกัน พร้อมยืนยันว่าได้ยึดถือในหลักนิติธรรมและนำไปใช้ตั้งแต่สมัยประกอบธุรกิจ จนกระทั่งมาสู่การเป็นนักการเมืองและนายกรัฐมนตรีในที่สุด โดยเปรียบ “ความยุติธรรม” เสมือน “เสาเข็ม“ ของทุกสังคมที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ และความยุติธรรมต้องเป็นของทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ถูกจำกัดไว้เฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่ม (Justice for all, not justice for some) รวมทั้งไม่มีประเทศใดในโลกจะแข่งขันได้อย่างยั่งยืน หากขาดหลักนิติธรรมที่มั่นคง และการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงต้องอาศัยกฎหมายที่มั่นคง แน่นอน คาดเดาได้ และต้องมีความไว้วางใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน พร้อมระบุว่า หลักนิติธรรมไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือ “วัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรม” ที่ต้องปลูกฝังให้หยั่งรากในทุกระดับของสังคม เพื่อให้มีทั้งกฎหมายที่เป็นธรรมและมีระบบที่ทุกคนเชื่อมั่น และยืนหยัดบนความถูกต้อง
ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม มีความเหลื่อมล้ำ ขาดเสถียรภาพของระบบการเมือง และปัญหากลไกการปกครอง ซึ่งมีรากเหง้ามาจากความอ่อนแอของโครงสร้างทางกฎหมายและวัฒนธรรมที่ไม่เอื้อต่อความเป็นธรรม หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องยึดหลักนิติธรรมอย่างเข้มแข็ง มีความกล้าหาญบังคับใช้กฎหมายเพื่อความถูกต้อง เที่ยงธรรม และไม่ยอมให้กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง กลั่นแกล้ง กดดัน และข่มขู่ พร้อมเน้นย้ำว่า รัฐบาลได้บรรจุในคำแถลงนโยบายให้ถือว่าการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือการละเว้นการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานรัฐในการป้องกันปราบปรามยาเสพติด บ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ การสร้างข่าวปลอมการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรงและต้องดำเนินคดีอาญาอย่างเด็ดขาด เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนต่างประเทศ และหลักนิติธรรมยังเป็นต้นทุนของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอีกด้วย
นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนดำเนินการเพื่อนำไปสู่เส้นทางของการเป็นสมาชิก OECD ที่ต้องมีมาตรฐาน มีธรรมาภิบาล มีหลักนิติธรรม ผ่านการดำเนินการใน 3 วาระสำคัญได้แก่
1. การวาง Roadmap ด้านหลักนิติธรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นสมาชิก OECD ปักหมุดแผนการยกระดับมาตรฐานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
2. การปลดล็อกคอร์รัปชันและปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และที่สำคัญเพื่อป้องกัน ช่องโหว่ทางกฎหมายหรือกลไกที่ไม่โปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิด “ธุรกิจสีเทา” และให้ธุรกิจสุจริตสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง
3. การสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้วยการยกระดับ Open Government ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเปิดเผยข้อมูลภาครัฐอย่างโปร่งใสและเข้าถึงได้จริง เพื่อให้ประชาชน ติดตาม ตรวจสอบ และ สะท้อนความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐได้อย่างเป็นระบบ และรัฐจะต้องมีองค์กรที่รับฟังความคิดเห็นเหล่านี้ได้
ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญคือ “การสร้างระบบนิเวศของความโปร่งใส” ทุกการตัดสินใจจะต้องถูกตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนการใช้งบประมาณ และการดำเนินนโยบาย จะต้องเปิดเผยและเปิดโอกาสให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การฟื้นฟูหลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเริ่มต้นในวันนี้ จะเป็น “จุดเปลี่ยนผ่านของประเทศ”ที่วางรากฐานให้รัฐบาลชุดต่อไปสานต่อได้อย่างยั่งยืน สามารถไปยืนได้บนเวทีโลก พร้อมขอบคุณ World Justice Project และ OECD รวมทั้งทุกคนที่มีส่วนร่วมในการจัดงานครั้งนี้เพื่อสนับสนุนการยกระดับ “หลักนิติธรรม” เป็นวาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อสังคมที่มีความปกติสุขและยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ นายอนุทิน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 “เมื่อโลกเปลี่ยน..ประเทศไทยไปทางไหน ?” ที่จัดขึ้นที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางสาวดวงพร อุดมทิพย์ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลให้กับสุดยอดซีอีโอทั้ง 16 คน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย”
นายอนุทิน กล่าวถึงโจทย์สำคัญในขณะนี้ว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ “AI” ประเทศที่ปรับตัวช้าจะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ และ “อำนาจต่อรอง” ในเวทีโลกด้วย โดยความหมายของคำว่า “Reset” วิธีคิด คือ การกลับมาทบทวนสิ่งที่ทำ การ Reset ประเทศจึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนโยบาย แต่เป็นการเปลี่ยน “วิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือ” ซึ่งต้องปรับตัวไปพร้อมๆ กัน แบ่งการ Reset เป็น 4 ด้าน คือ
– Reset ด้านความมั่นคง รัฐบาลมุ่งสร้างความมั่นคง ทั้งภายนอกและภายใน และกำลังแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งพลังของการทูต การทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนมาสู่ชีวิตประชาชน เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคตอันใกล้ เร่งจัดการปัญหาภัยสังคม ทั้งยาเสพติด การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการหลอกลวงทางเทคโนโลยี เพราะไม่เพียงทำลายชีวิตประชาชน แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจด้วย ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ยึด “หลักนิติธรรม” ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และที่สำคัญจะไม่ยอมให้ “การทุจริตคอร์รัปชัน” กลายเป็นต้นทุนแฝงของระบบเศรษฐกิจไทยอีกต่อไป รวมทั้งประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการของการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD กระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติธรรม จึงเป็นหนึ่งในเกณฑ์
ที่จะต้องถูกพิจารณา
– Reset ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เน้นสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ส่งเสริมเกษตรกร และสนับสนุนให้ SME ฟื้นตัวได้ พร้อมลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน และค่าขนส่ง จัดให้มี “โครงการธงฟ้า” ให้เข้าถึงทุกชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน รวมทั้ง จะเสริมความมั่นคงทางเกษตรและพลังงาน ด้วยแนวทาง smart farming สนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคครัวเรือน และภาคเกษตร บริหารราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ให้เป็น “เศรษฐกิจสีเขียว” ที่ช่วยทั้งชาวนาและโลกไปพร้อมกัน โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้คำจำกัดความ ว่า เป็นนโยบายเศรษฐกิจเฉพาะกิจ ที่เป็นการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Tax) ผลักดัน “เศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการนำ AI และ Big Data มาปรับใช้ในการผลิต การค้าและบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมอนาคต โดยปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุนลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อความสะดวก และความมั่นใจของนักลงทุน
– Reset ด้านสังคม รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนในมนุษย์ จากการที่ประเทศเป็นสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ รัฐบาลจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้ “ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้” โดยได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการปรับอายุสำหรับการเกษียณไว้ในโอกาสที่เหมาะสม “รัฐบาลจะสนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพ เทคโนโลยีดูแลผู้สูงวัย และปรับโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ การใช้ Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน เพราะการออกแบบเมืองและอาคารห้างร้านต่างๆ ให้เอื้อต่อวิถีชีวิตของกลุ่มคนเปราะบาง เด็กไทยเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีการศึกษาที่เท่าทันโลก การพัฒนาทักษะ และแรงบันดาลใจที่จะกลับมาช่วยบ้านเกิด
– Reset ด้านสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล ประเทศกำลังเดินหน้าสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ” อย่างจริงจัง รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2025 และจะจัดตั้ง “ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน” ผลักดันพลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรให้ได้ตามเป้า ยังจะมีการออกกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อความยั่งยืนในอนาคตของประเทศ ด้านดิจิทัล รัฐบาลจะเร่งสร้าง “รัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ” เชื่อมโยงทั้งประเทศ สร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้ จะเป็นผลบวกต่อการป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างแน่นอน
ขอเชิญชวนให้ “มองอนาคตร่วมกัน” ซึ่งรัฐบาลต้องการพลัง ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน
ในทุกภาคส่วน รวมถึงสื่อมวลชนด้วย เพื่อให้เป็นประเทศไทยในเวอร์ชันที่ “พร้อมจะเติบโตอีกครั้ง อย่างยั่งยืน”
ด้านนายเอกนิติ กล่าวว่า วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน 4 เรื่องหลัก ได้แก่
1. บริบทเศรษฐกิจโลก วันนี้โลกกำลังเปลี่ยนอย่างรุนแรง จากโลกเสรีเป็นโลกแห่งการเลือกข้าง ทำให้เกิดการค้าขายเฉพาะพวกของตนเอง และเกิดการกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น
2. บริบทสังคม โดยเฉพาะเรื่องของคนทั่วโลกก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย คนเกิดน้อยคนแก่เยอะ ขาดแรงงาน แต่ไทยน่าห่วงกว่า เพราะมีคนอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20% ของประชาชน ขณะเดียวกันระบบสวัสดิการสังคมยังดูแลไม่ทั่วถึง ซึ่งต่อไปรัฐบาลจะต้องมีภาระงบประมาณค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาล เพิ่มหนี้สาธารณะมากขึ้น สวนทางกับการจัดเก็บรายได้ลด กำลังซื้อน้อยลง แต่รัฐบาลยังพอมองว่าไทยยังมีโอกาสในการทำธุรกิจทั้งภาคบริการ อาหาร และสุขภาพดูแลรองรับคนสูงวัยจากทั่วโลกให้มาพำนัก ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก
3. ความเหลื่อมล้ำ คนไทยจนก่อนแก่โดยหากกางรายได้พบว่าคนที่รวยสุด 20% ของประชากร มีสัดส่วนรายได้รวมกัน 55% ของ GDP ขณะที่คนจนที่สุด 20% กลับมีรายได้รวมกันเพียง 6% และถ้าดูแลไม่ดีจะกลายเป็นปัญหาสังคมมากยิ่งขึ้น ยิ่งการก้าวของโลกจากยุคอนาล็อกไปสู่ยุคดิจิทัล และกำลังก้าวไปเร็วมากสู่ยุค AI ถ้าเราไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์อาจทำให้เกิดการเหลื่อมล้ำมากขึ้น
4. เทรนด์สิ่งแวดล้อม ก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงของปัญหาสิ่งแวดล้อม จากปัญหาโลกร้อนไปสู่โลกสีเขียว ใครไม่อยู่ในเทรนด์นี้ โอกาสการทำธุรกิจจะยากขึ้น
ทั้งนี้ จากเทรนด์โลกที่กำลังเปลี่ยนไปใน 4 เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องปรับตัว ขณะที่ในมุมเศรษฐกิจมหภาค รัฐบาลแม้จะอยู่เพียง 4 เดือนแต่ต้องทำให้ได้ โดยสิ่งที่รัฐบาลทำ คือ การทำ ESG Plus คือ เศรษฐกิจประเทศต้องเติบโตมากขึ้น ควบคู่กับการดูแลธรรมาภิบาลและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จึงมีมติเห็นชอบในหลักการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจขึ้น โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก 28 ราย (เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ตลอดจนประเมิน วิเคราะห์ และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางตัดสินใจเชิงรุกในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี