ไทย-กัมพูชา ลงนามในถ้อยแถลงร่วม Joint Statement พิสูจน์ความจริงใจใน 72 ชม. ต้องหยุดยิงจริง

พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ร่วมลงนามในถ้อยแถลงร่วม Joint Statement ในการประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) เข้าร่วมสังเกตการณ์ โดยพลเอก ณัฐพล เปิดเผยถึงผลประชุม GBC ว่า ที่ประชุมตระหนักถึงความสำคัญของการหารือเพื่อระงับข้อพิพาทโดยสันติ ในบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ ความจริงใจ ความสุจริตใจ ความเป็นธรรม และความเคารพซึ่งกันและกัน ตามวัตถุประสงค์และหลักการ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน และสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อปูทางไปสู่บทใหม่แห่งสันติภาพและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

โดยระลึกถึงถ้อยแถลงประธานอาเซียนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนสมัยพิเศษว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย  พร้อมย้ำความมุ่งมั่นอันหนักแน่นที่จะละเว้นจากการคุกคามหรือการใช้กำลัง การระงับข้อพิพาทโดยสันติ และการเคารพเขตแดนระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค บนพื้นฐานแห่งการเคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และเอกลักษณ์ประจำชาติของแต่ละประเทศ และยังย้ำความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ตลอดจนความตกลงอื่นที่ได้บรรลุหลังจากนั้น ความตกลงภายใต้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปและคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม และความตกลงทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัมพูชากับประเทศไทย อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิผล ยืนยันความตั้งใจร่วมกันที่จะกลับสู่การหารือ โดยต่อยอดความตกลงเดิมและกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว เพื่อยุติการกระทำอันเป็นปรปักษ์ทุกรูปแบบ และสร้างสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน พร้อมทั้งยึดมั่นในการเสริมสร้างความไว้วางใจและการฟื้นฟูความปกติสุขและสันติภาพที่ถาวรตามแนวชายแดน ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบต่อความเข้าใจและมาตรการดังต่อไปนี้

          1. มาตรการลดความตึงเครียด

1. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในการหยุดยิงทันที ภายหลังเวลาที่ลงนามในถ้อยแถลงร่วมฉบับนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่ เวลา 12.00 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันที่ 27 ธันวาคม 2568 โดยครอบคลุมอาวุธทุกชนิด รวมทั้งการโจมตีพลเรือน เป้าหมายและโครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน เป้าหมายทางทหารของแต่ละฝ่ายในทุกกรณีและทุกพื้นที่ ทั้งสองฝ่ายต้องหลีกเลี่ยงการโจมตีที่ไม่ได้เกิดจากการยั่วยุ หรือการเคลื่อนพลมุ่งหน้าต่อที่ตั้งหรือกำลังของอีกฝ่ายหนึ่ง
โดยจะต้องไม่ละเมิดข้อตกลงนี้โดยเด็ดขาด

2. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้คงการวางกำลังที่มีอยู่ในพื้นที่ในปัจจุบัน (maintain current troop deployments) โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังที่ตั้งอยู่เพิ่มเติม และจะไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง รวมทั้งการลาดตระเวนตรงไปยังที่ตั้งของฝ่ายตรงข้าม

3. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ข้อตกลงตามถ้อยแถลงร่วมฉบับนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลัก เขตแดนระหว่างสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเสนอเรื่องดังกล่าวให้แก่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission) เพื่อกลับมาดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในโอกาสแรก ให้เป็นไป ตามความตกลงที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ เพื่อบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนตลอดแนวชายแดน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ ร่วมกันให้ใช้กลไกที่มีอยู่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและสวัสดิภาพของชุด สำรวจร่วมในพื้นที่ปฏิบัติงาน รวมทั้งความปลอดภัยจากทุ่นระเบิด โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบหากคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วมจะจัดให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบที่มีประชาชนอาศัยอยู่ ได้รับการกำหนดความสำคัญเป็นลำดับแรกที่สุด

4. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้อนุญาตให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบสามารถกลับสู่ที่อยู่อาศัยและได้ดำรงชีวิตตามปกติในพื้นที่ในเขตของฝ่ายตนในโอกาสแรก โดยปราศจากอุปสรรค และโดยปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี

5. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะไม่เพิ่มกำลังเข้ามาตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เนื่องจากการเพิ่ม กำลังจะเป็นการเพิ่มบรรยากาศความตึงเครียดระหว่างกันมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลกระทบทางลบต่อการแก้ไข สถานการณ์ในระยะยาว

6. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะละเว้นจากการดำเนินการยั่วยุใด ๆ ที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปฏิบัติการทางทหารเพื่อรุกล้ำเขตน่านฟ้า ดินแดน หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ณ เวลาหยุดยิง โดยทั้งสองฝ่าย ตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหาร
ล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน

7. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ในการงดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อพลเรือนและเป้าหมายทางพลเรือน โดยเด็ดขาด ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนแล้ว ยังเป็นการละเมิด กฎหมายระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในเวทีระหว่างประเทศของฝ่ายที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง

8. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะงดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมเพื่อลดความตึงเครียด
ลดความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชน และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจรจาอย่างสันติ

9. ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงพันธกรณีของตนภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการ ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Ottawa Convention) โดยทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติงานร่วมกันผ่านคณะทำงาน ประสานงานร่วม (Joint Coordinating Task Force: JCTF) ด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยเป็นไป ตามมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติ (Standard Operating Procedures: SOP) ที่ได้ตกลงกัน เพื่อให้การเก็บกู้
ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนมีความคืบหน้าโดยเร็ว

10. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันให้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงอาชญากรรมทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติของ กัมพูชาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย และได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อป้องกัน การหลอกลวงออนไลน์ การแก้ไขปัญหาการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในทางที่มิชอบ และการส่งเสริมการเผยแพร่ข้อมูล ที่มีความรับผิดชอบและถูกต้อง เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น เสถียรภาพ และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีระหว่างกัน

11. ตามเจตนารมณ์ของถ้อยแถลงร่วมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ทหารกัมพูชา 18 คน จะถูกส่งคืนกลับให้กัมพูชา ภายหลังจากการหยุดยิงคงอยู่เป็นเวลาต่อเนื่อง 72 ชั่วโมง

2. กลไกสำหรับการดำเนินการและการติดตามการปฏิบัติตามมาตรการลดความตึงเครียด

12. ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) และเห็นพ้องที่จะเพิ่มบทบาทของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนให้มากยิ่งขึ้น โดยปรึกษาหารือร่วมกับประธาน อาเซียนและคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน เพื่อการตรวจสอบและการยืนยันการดำเนินการตามมาตรการทั้งหมด
ในแถลงการณ์ร่วมฉบับนี้อย่างมีประสิทธิผล

13. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะใช้กลไกหน่วยประสานงาน ชายแดน ไทย-กัมพูชา และ กัมพูชา-ไทย เพื่อดำเนินการให้การหยุดยิงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง บริหารจัดการ สถานการณ์ในพื้นที่ แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างทันท่วงที และป้องกันการประเมินผิดพลาด ภายใต้การสังเกตการณ์และการตรวจสอบของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน

14. ทั้งสองฝ่ายจะคงไว้ซึ่งช่องทางการสื่อสารโดยตรงและสม่ำเสมอระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เร่งด่วนที่ไม่อาจแก้ไขได้ในระดับพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ หากมีความจำเป็น ผู้แทนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายจะพบหารือกันเพื่อแก้ไขปัญหา
ในพื้นที่อย่างมีประสิทธิผล

15. คณะทำงานประสานงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (JCTF) จะแจ้งหน่วยงานท้องถิ่น
ที่เกี่ยวข้องของฝ่ายตน รวมทั้งคณะทำงานร่วมของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้รับทราบและอำนวยความสะดวกในการ ดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนที่ได้กำหนดเป็นลำดับความสำคัญตามแผนปฏิบัติการ
ที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นปราศจากอุปสรรคหรือความเข้าใจผิด 

16. คณะทำงานที่รับผิดชอบการแถลงข่าวทางการของทั้งสองฝ่ายจะรักษาการสื่อสารโดยตรงและอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันและจัดการข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จอย่างมีประสิทธิผล ตลอดจนทำให้เกิดความโปร่งใส และความถูกต้องของข่าวสารและรายงานต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

พลเอก ณัฐพล กล่าวว่า การหยุดยิงจะต้องหยุดยิงอย่างเป็นทางการและจริงใจ ซึ่งกัมพูชาเสนอขอให้หยุดยิงตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เวลา 22.00 น. โดยไม่มีเงื่อนไข แต่ฝ่ายไทยพิจารณาแล้วว่าการหยุดยิงต้องจริงใจ จึงเป็นที่มาของการประชุม GBC ครั้งนี้ และมีถ้อยแถลงร่วม Joint Statement ไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาทวิภาคีอย่างแท้จริง และให้มีการสังเกตการณ์หยุดยิง 72 ชั่วโมง เพื่อยืนยันว่าการหยุดยิงยุติลง ประชาชนปลอดภัย ไทยจะปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 คน ตามหลักการเมื่อสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ ยืนยันว่า กองทัพสามารถควบคุมพื้นที่ตามที่กำหนดไว้แล้ว การเสียสละเลือดเนื้อของทหารต้องไม่สูญเปล่า ซึ่งเราต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของไทยในเวทีต่างประเทศด้วย สำหรับชาวไทย โกรธ เจ็บปวด ห่วงใยชาติบ้านเมือง รัฐบาลไม่เคยมองข้าม ขอแสดงความเคารพต่อการเสียสละของทหารไทยและครอบครัวผู้สูญเสีย รัฐบาลจะดูแลสิทธิ สวัสดิการ และการเยียวยาอย่างเต็มที่ และขอยืนยันต่อประชาชนว่าการหยุดยิงเป็นการเปิดให้ใช้โอกาสแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีในเวทีทางการทูต เพื่อกลับมาแก้ปัญหา รัฐบาลตัดสินใจโดยยึดถืออธิปไตย ความปลอดภัย และการใช้ชีวิตปกติของประชาชน

ด้าน พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา กล่าวว่า การกำหนดหยุดยิง 72 ชั่วโมง เพื่อยืนยันว่ามีการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงถ้อยแถลง โดยช่วง 72 ชั่วโมงเป็นกรอบเฝ้าติดตามร่วมกัน ลดความเสี่ยงความเข้าใจผิดและเหตุปะทะซ้ำ และช่วยสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ซึ่งข้อตกลงมีความชัดเจนว่า ต้องไม่มีการโจมตีหรือยั่วยุซ้ำ หากเกิดเหตุ ไทยจะดำเนินการตามกฎการปะทะและมาตรการที่เหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมใช้กลไกสื่อสารโดยตรงที่จัดตั้งไว้เพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว และลดเหตุการณ์บานปลาย ไทยยืนยันว่าต้องเจรจาโดยตรงระหว่างสองประเทศ เพราะการเจรจาโดยตรงสามารถสร้างความไว้วางใจ แก้ปัญหาได้ตรงจุด และออกแบบกลไกปฏิบัติที่สอดคล้องกับสถานการณ์พื้นที่จริง นำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้มากที่สุด และไทยย้ำเรื่องทุ่นระเบิด เป็นเงื่อนไขสำคัญ เพราะเป็นประเด็นมนุษยธรรมและความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ ที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด การตกลงครั้งนี้ทั้งสองฝ่าย จึงเห็นพ้องให้มีกลไกทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมอย่างเป็นระบบ ปลอดภัย และโปร่งใส และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนขั้นตอนสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในระยะต่อไปจะแล้วเสร็จ

ส่วนผลของการปฏิบัติทางทหารจนถึงปัจจุบัน ถือว่าไทยบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้วโดยสามารถควบคุมภูมิประเทศสำคัญในพื้นที่เขตอธิปไตยที่มีผลกระทบต่อประชาชนไว้ได้แล้ว และหากทำการรบต่อไป ความชอบธรรมของไทยในเวทีโลกก็จะเริ่มลดลง นอกจากนี้เราอาจต้องสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของทหารเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้การตกลงหยุดยิง มีเป้าหมายสำคัญคือให้ประชาชนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย เมื่อการหยุดยิงเกิดขึ้นจริง ต่อเนื่องและสถานการณ์สงบลง ตามการประเมินของหน่วยงานในพื้นที่ จะเร่งสนับสนุนการกลับเข้าพื้นที่อย่างเป็นขั้นตอนและปลอดภัยที่สุด ยกเว้นในบางพื้นที่ ที่แต่ละฝ่ายยังคงวางกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ เช่น บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านคลองแผง ซึ่งจะต้องมีการประเมินสถานการณ์กันอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าความรุนแรงลดลงจริง ประชาชนสามารถกลับสู่ความปลอดภัย และบรรยากาศเอื้อต่อการแก้ปัญหาในระยะยาว

ซึ่งหลังเวลา 12.00 น. ซึ่งเป็นเวลาหยุดยิงตามถ้อยแถลง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอน้ำยืน (ศบก.อ.น้ำยืน) รายงานสถานการณ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เสียงปืนสงบ เมื่อเวลา 12.00 น. ในห้วงของการหยุดยิง ภายในเวลา 72 ชั่วโมง ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารข้อมูลจากทางราชการเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่และ
ขอความร่วมมือปฏิบัติตามแนวทางที่อำเภอกำหนด

นายจำเริญ แหวนเพ็ชร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ สั่งการให้ชุดปฏิบัติการเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด(EOD) บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครอง ตำรวจภูธรจังหวัด ตำรวจตระเวนชายแดน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน เข้าสำรวจพื้นที่เสี่ยงในชุมชนและที่พักอาศัย ระหว่างช่วงการประกาศสังเกตการณ์หยุดยิงเป็นเวลา 72 ชั่วโมง
เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย ก่อนรองรับการอพยพประชาชนกว่า 100,000 คน กลับสู่ภูมิลำเนา

นายสุทธิโรจน์ เจริญธนศักดิ์ นายอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ได้แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน ให้ประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในพื้นที่ชายแดน ให้ชะลอการอพยพประชาชนกลับเข้าพื้นที่ไว้ก่อน เนื่องจากจังหวัดได้ประสานให้ชุดปฏิบัติการเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) เข้าตรวจสอบความปลอดภัยในพื้นที่บ้านเรือนที่เป็นจุดกระสุนตก ระหว่างวันที่ 27–28 ธันวาคม 2568 เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ภายหลังการตรวจสอบพื้นที่แล้ว หากพบว่ามีความปลอดภัยและไม่มีเหตุยิงปะทะเกิดขึ้นอีก จังหวัดจะพิจารณาและมีคำสั่งอนุญาตให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านได้ต่อไป

ขณะที่ กระทรวงยุติธรรม รายงานสรุปผลการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 8-26 ธันวาคม 2568 ผ่านการปฏิบัติงานของสำนักงานยุติธรรมจังหวัดในพื้นที่ รวมจำนวน 19 แห่ง บูรณาการ​ร่วมกับสำนักงาน​ยุติธรรม​จังหวัด​ที่เกี่ยวข้อง​ ด้วยการระดมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่แจ้งสิทธิรับคำขอค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา และให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบแล้ว รวมจำนวนทั้งสิ้น 289 ราย เป็นผู้เสียชีวิต 16 ราย และผู้บาดเจ็บ 273 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2568) โดยมีการบูรณาการทำงานและประสานส่งต่อคำขอไปยังสำนักงานยุติธรรมจังหวัดในพื้นที่เกิดเหตุอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เสียหายและครอบครัวได้รับสิทธิและการเยียวยาตามกฎหมายอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง