ชาวนาเฮ ! รัฐบาลประกันรายได้ราคาข้าว พร้อมจ่ายเงินส่วนต่าง 16 พ.ย. นี้

นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตอบกระทู้ถามสดด้วยวาจากรณีที่นายมานิตย์ สังข์พุ่ม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุรินทร์  ได้ถามในที่ประชุมสภาฯ เกี่ยวกับราคาข้าวที่ตกต่ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อให้ข้าวมีราคาดีขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลอย่างเดียว เพราะต้องขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิต และความต้องการในแต่ละปีด้วย ซึ่งในปีการผลิตที่ผ่านมาราคาข้าวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 10 ปี ถึงเกวียนละ 10,000 บาท โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการของรัฐบาล และกลไกตลาดในช่วงเวลานั้น

ขณะที่ภาพรวมผลผลิตปี 2563 พบว่ามีมากกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 6 แต่ที่ช่วงนี้ที่ราคาข้าวลดลง เนื่องจากฤดูการผลิตข้าวในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมของทุกปี จะมีผลผลิตข้าวจะออกมามากและส่งผลกระทบให้ข้าวราคาตก  ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกปี ประกอบกับโรงสีได้ซื้อข้าวเก่าเก็บไว้ในราคาสูง แต่ไม่สามารถระบายออกได้ทำให้ขาดสภาพคล่อง รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการหลายมาตรการเพื่อช่วยดึงราคาในตลาด ประกอบด้วย  

1.ชะลอขาย โดยเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกร ชะลอขายข้าว โดยเก็บข้าวไว้ก่อน และมีเงินช่วยเหลือสนับสนุนจากรัฐ ตันละ 1,500 บาท

2.ถ้าเป็นสหกรณ์และโรงสีเก็บข้าวไว้ รัฐบาลจะช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 และธ.ก.ส. มีมาตรการให้สินเชื่อกับโรงสีเป็นกรณีพิเศษตั้งแต่ 1 พ.ย. 63 เพื่อซื้อข้าวมาเก็บไว้ ลดปริมาณข้าวในตลาด โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 และรัฐบาลมีสินเชื่อ SME ด้านการเกษตร โดยให้โรงสีสามารถกู้ในวงเงินถึงร้อยละ 20 ล้านบาทต่อราย คิดดอกเบี้ยร้อยละ 4 เป็นต้น

นายจุรินทร์ กล่าวว่า สัปดาห์นี้ กรมการค้าภายในจะเชิญธนาคารพาณิชย์และแบงก์ชาติมาหารือถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ ในการปล่อยสินเชื่อให้กับโรงสีเพื่อเร่งรับซื้อข้าวจากเกษตรกร แต่หากพืชเกษตร 5 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาลดลงจากรายได้ที่ประกันไว้ รัฐบาลยังมี “นโยบายประกันรายได้เกษตรกร” เป็นตัวช่วยสำคัญเพื่อให้ชาวนาผู้ปลูกข้าวสามารถมีรายได้ ตามรายได้ที่ประกันไว้ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดภูเก็ต และให้เริ่มต้นนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในฤดูการผลิตปีนี้

นายจุรินทร์ ย้ำว่า คณะอนุกรรมการได้เคาะเงินส่วนต่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยรายได้ที่ประกันและเงินส่วนต่างที่เกษตรกรจะได้รับนั้น มีดังนี้  

  • ข้าวเปลือกหอมมะลิ ประกันรายได้ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,911 บาท
  • ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ประกันรายได้ตันละ 14,000 บาท ส่วนต่างตันละ 2,137 บาท
  • ข้าวเปลือกเจ้า ประกันรายได้ตันละ 10,000 บาท ส่วนต่างตันละ 1,222 บาท
  • ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ประกันรายได้ตันละ 11,000 บาทส่วนต่างตันละ 1,066 บาท
  • ข้าวเหนียวประกันรายได้ตันละ 12,000 บาท ส่วนต่างตันละ 2,084 บาท

สำหรับการจ่ายเงินงวดแรกวันที่ 16 พ.ย. นี้ จะช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวแต่ละชนิดรับเงินส่วนต่างสูงสุด ถ้าปลูกข้าวเปลือกหอมปทุมธานี จะได้รับเงินส่วนต่างสูงสุดถึง 26,674 บาท ข้าวเหนียวจะได้รับเงินส่วนต่างสูงสุด 33,349 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ได้รับเงินส่วนต่างสูงสุด 36,670 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ได้รับเงินส่วนต่างสูงสุด 34,199 บาท และข้าวหอมมะลิจะได้รับเงินส่วนต่างสูงสุดถึง 40,756 บาท ต่อครัวเรือนจะเป็นตัวช่วยจากนโยบายประกันรายได้ของรัฐบาล

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้รัฐบาลมีเงินช่วยพิเศษสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เรียกว่าเงินค่าพัฒนาคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,000 บาท ครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ จะได้รับครัวละไม่เกิน 20,000 บาท โดยแบ่งเป็น 2 งวด งวดที่ 1 ได้รับ 500 บาท งวดต่อไป 500 บาท จะช่วยชาวนาเพื่อลดปัญหารายได้ลดลงถ้าอยู่ในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ

ส่วนมาตรการระยะยาว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการเข้าไปดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยใช้ยุทธศาสตร์ข้าวไทย 5 ปี ตั้งแต่ปี 63-67 โดยยุทธศาสตร์ข้าวกำหนดยุทธศาสตร์วิสัยทัศน์ไว้ชัดเจนว่าใน 5 ปี เราจะทำให้ไทยเป็นผู้นำการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก โดยเน้นข้าว 7 ชนิด ประกอบด้วยข้าวหอมมะลิข้าวหอมไทย ข้าวขาวพื้นนุ่ม ข้าวขาวพื้นแข็ง ข้าวนึ่ง ข้าวเหนียว ข้าวสี และข้าวคุณลักษณะพิเศษ โดยเน้นตลาด 3 ตลาดคือ ตลาดพรีเมียม ตลาดทั่วไปและตลาดเฉพาะ

และที่สำคัญถ้าการผลิตมีเป้าหมายชัดเจนใน 5 ปี จะลดต้นทุนการผลิตให้ข้าวจากไร่ละ 6,000 บาท เป็นไม่เกิน 3,000 บาทต่อไร่ และจะมีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตจากไร่ละ 465 กิโลกรัม เป็นไร่ละ 600 กิโลกรัมต่อไร่ ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนช่วยให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น และจะมุ่งเน้นในการเพิ่มพันธุ์ข้าวใหม่ให้ได้ 12 พันธุ์ ภายใน 5 ปี และมุ่งเน้นในการประกวดพันธุ์ข้าวไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้งเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ไปแข่งกับประเทศอื่นในตลาดโลกได้ต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง