นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนการประชุมว่า ระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากการส่งออกและการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประมาณการ การเติบโตตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 3 แต่รัฐบาลเชื่อว่าด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจไทยและความตั้งใจในการทำงานของทุกกระทรวงและภาคเอกชน จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้มากกว่าร้อยละ 3 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำให้เศรษฐกิจแข็งแรงมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการประชุมในวันนี้ เพื่อที่จะร่วมกันคิดหาแนวทางเสนอโครงการต่างๆ ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ โดยต้องปฏิบัติภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 3 และเพื่อวางรากฐานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างในระยะยาวไปพร้อมกัน จึงขอให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจัดหมวดหมู่ของมาตรการทั้งหมด 46 โครงการ ตามเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) การบริโภคภาคเอกชน (12 โครงการ) 2) การลงทุนภาคเอกชน (17 โครงการ) 3) การใช้จ่ายภาครัฐ (13 โครงการ) และ 4) การส่งออกสินค้าและบริการ (4 โครงการ) ซึ่งเน้นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย สำหรับปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ ร้อยละ 3 ผ่านการขับเคลื่อนปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งหมดนี้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจัดหมวดหมู่ของมาตรการ ดังกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบหลักการ เงื่อนไข หลักเกณฑ์ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ในระยะที่ 3 และเห็นชอบแนวทางการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการฯ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการจัดทำข้อเสนอโครงการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
ให้ความเห็นชอบต่อไป
นายกรัฐมนตรี ยังเสนอแนะถึงการติดตามตรวจสอบหรือตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ (Fraud Detection) รวมทั้งการสืบสวนสอบสวน เพื่อระงับสิทธิเพิกถอนสิทธิเรียกเงินคืน ตลอดจนดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ อยากให้ตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
การคลัง แถลงภายหลังประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 โดยนายพิชัย กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส 3 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต โดยจะจ่ายในกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 16-20 ปี ที่ได้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐไว้แล้ว จำนวน 2.7 ล้านคน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยเรียน สามารถนำเงินที่ได้จากโครงการไปใช้จ่ายแบ่งเบาภาระผู้ปกครองได้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมาก ซึ่งการใช้ระบบดิจิทัลวอลเล็ตนั้นถือว่าเป็นระบบที่ดี แม้การนำมาใช้จะยากไปบ้างเมื่อเทียบกับการให้เงินอุดหนุนทั่วไป แต่ดิจิทัลวอลเล็ตสามารถใช้ระบบควบคุมการใช้จ่ายได้ง่ายขึ้นและตรงตามวัตถุประสงค์ และจะเป็นประโยชน์ต่อการนำข้อมูลไปใช้กับโครงการอื่นที่จะมีอีกในอนาคต เชื่อว่าโครงการนี้มีความคุ้มค่า มีการกระจายทั่วถึง ได้แก้ไขหนี้ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันมีภาระหนี้ครัวเรือนสูงถึงร้อยละ 89 นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีห่วงเรื่องความผิดพลาด โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อติดตามเรื่องความผิดพลาด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าความผิดพลาดในอดีตที่อาจจะมีมาก แต่การใช้การจ่ายเงินด้วยดิจิทัลวอลเล็ตจะลดจำนวนความผิดพลาดต่างๆ ได้
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ระยะเวลาจ่ายเงินในเฟส 3 นั้น เป็นไปตามความเหมาะสมคาดว่าจะเป็นตามกรอบเวลาเดิมที่วางไว้คือในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึง ต้นไตรมาส 3 ซึ่งต้องคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ประโยชน์ที่ได้เป็นเม็ดเงิน การวางพื้นฐานด้วยดิจิทัลเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง การดำเนินการจึงต้องละเอียดถี่ถ้วน ส่วนกลุ่มประชาชนอายุตั้งแต่ 21 – 59 ปี ต้องรอการพิจารณาอย่างเหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องการเห็นประชาชนทั้งหมดเข้าถึงข้อมูล จึงเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนให้มาลงทะเบียน และจะใช้เป็นฐานข้อมูลในอนาคตด้วย โดยจะสนับสนุนให้ประชาชนกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนเข้าถึงข้อมูลในส่วนนี้ เพราะเชื่อมั่นว่าระบบดิจิทัลวอลเล็ตจะเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เปิดเผยว่า กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ได้เตรียมให้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ร่วมกับไปรษณีย์และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปิดลงทะเบียนประชาชนร่วมโครงการในเร็วๆ นี้ ยืนยันมีระบบคัดกรอง และตรวจสอบการไม่มีสมาร์ทโฟน เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับกลุ่มที่เคยได้รับเงิน ทั้งกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ส่วนกรอบระยะเวลาดำเนินการจะพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
นายเผ่าภูมิ กล่าวด้วยว่า กรณีมีการตั้งข้อสังเกตการแจกเงินกลุ่ม 16 – 20 ปี เป็นเพราะรัฐบาลมีเงินไม่เพียงพอนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาลสำรองเงินไว้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหมาะสม วงเงิน 1.5 แสนล้านบาทไว้แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดขาดมือ พร้อมย้ำว่าการแจกเงินกลุ่ม 16-20 ปี เป็นกลุ่มที่มีความตื่นรู้ทางด้านเทคโนโลยีสูง มีความสามารถในการใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสูงกว่ากลุ่มอื่น รัฐบาลจึงเลือกกลุ่มนี้
ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กล่าวถึงการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขประเภทสินค้า Negative List ออก (สินค้าที่ห้ามจำหน่ายในโครงการฯ) เพราะใช้การกำกับดูแลการลงทะเบียนร้านค้าเป็นหลัก รวมถึงการถอนเงินสดของร้านค้าว่าร้านค้าทุกประเภทสามารถถอนเงินสดได้ ไม่จำกัดเฉพาะร้านค้าที่เสียภาษีเท่านั้น เพื่อให้เกิดความสะดวกกับร้านค้า และดึงดูดร้านค้าเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ส่วนพื้นที่การใช้จ่ายเงิน ต้องใช้ในเขตอำเภอเหมือนเดิม พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะพยายามทำให้เต็มที่ตามที่ได้มีการแถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา และเงิน 10,000 บาท จะต้องถึงมือประชาชนทุกคนให้ได้
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ (โครงการฯ) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 3,025,596 ราย ว่า กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงิน 10,000 บาทต่อราย ให้แก่กลุ่มเป้าหมายเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 แล้ว จำนวน 3,025,596 ราย โดยมีผลการโอนเงินแบ่งเป็น โอนเงินสำเร็จจำนวน 2,825,076 ราย (หรือคิดเป็นร้อยละ 93.37) โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 200,520 ราย (หรือคิดเป็นร้อยละ 6.63)
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 กรมบัญชีกลางได้สั่งจ่ายเงินในรอบการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 1 ให้แก่กลุ่มเป้าหมายจำนวน 199,919 ราย (หักผู้ถูกระงับสิทธิเนื่องจากเสียชีวิต) โดยผลการโอนเงินแบ่งเป็น โอนเงินสำเร็จจำนวน 158,712 ราย และโอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 41,207 ราย สำหรับสาเหตุที่โอนเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ จำนวน 39,761 ราย (ร้อยละ 96.49 ของจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่โอนเงินไม่สำเร็จ) ยังไม่ลงทะเบียนสมัครพร้อมเพย์เพื่อผูกบัญชีเงินฝากกับเลขประจำตัวประชาชน และสาเหตุอื่น ๆ จำนวน 1,446 ราย (ร้อยละ 3.51 ของจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่โอนเงินไม่สำเร็จ) ได้แก่ บัญชีธนาคารไม่เคลื่อนไหว บัญชีธนาคารถูกปิด เลขที่บัญชีไม่ถูกต้องหรือบัญชีธนาคารติดเงื่อนไข และไม่มีบัญชีธนาคาร
โฆษกกระทรวงการคลัง ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า กระทรวงการคลังจะมีการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) อีกจำนวน 2 ครั้งเท่านั้น จึงขอให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิเข้าไปตรวจสอบผลการจ่ายเงินผ่านทางแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยหากปรากฏผลว่า โอนเงินไม่สำเร็จให้ประชาชนเร่งติดต่อธนาคารเพื่อดำเนินการผูกพร้อมเพย์กับบัญชีเงินฝากด้วยเลขประจำตัวประชาชน ส่วนประชาชนที่เคยผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนแล้วให้ติดต่อธนาคารเพื่อตรวจสอบบัญชีดังกล่าวว่ามีปัญหาใด เช่น บัญชีธนาคารถูกปิด บัญชีธนาคารติดเงื่อนไข บัญชีธนาคารไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เป็นต้น และขอแก้ไขตามแต่ละกรณี โดยอาจจำเป็นต้องผูกพร้อมเพย์กับบัญชีใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในรอบถัดไป ดังนี้
รอบการจ่ายเงินซ้ำ ครั้งที่ 2 จะต้องผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 25 มีนาคม 2568 ซึ่งจะจ่ายเงินภายในวันที่ 28 มีนาคม 2568 และรอบการจ่ายเงินซ้ำ ครั้งที่ 3 จะต้องผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 23 เมษายน 2568 ซึ่งจะจ่ายเงินภายในวันที่ 28 เมษายน 2568 ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการจ่ายเงินซ้ำ ครั้งที่ 3 แล้ว กระทรวงการคลังจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ
สำหรับผู้มีสิทธิอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นบุคคลล้มละลายสามารถขอรับเงินตามโครงการฯ ได้ โดยต้องไปกรอกแบบฟอร์มขออนุญาตเปิด/ใช้บัญชีเพื่อรับเงินตามโครงการฯ โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของกรมบังคับคดี และจัดส่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการกรอกแบบฟอร์มถึงธนาคาร เพื่อขอให้ธนาคารเปิดบัญชีให้บุคคลล้มละลาย หรือยกเลิกการอายัดบัญชีของบุคคลล้มละลาย เพื่อรับเงินตามโครงการฯ
ขณะนี้ภาครัฐได้จ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเป้าหมายแล้วรวมทั้งสิ้น 2,983,788 ราย ทำให้มีเงินจากโครงการฯ หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 29,837.88 ล้านบาท ขอให้ประชาชนที่ได้รับเงินส่วนนี้แล้ว
วางแผนการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าและให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัว