นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ว่า ทุกอย่างเป็นปกติดี วันนี้รัฐมนตรีมาต้อนรับประธานาธิบดีอินโดนีเซียพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีอะไรเลย
ส่วนที่มองว่าพรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคกล้าธรรม ขณะที่พรรคภูมิใจไทยร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอนุทิน ระบุว่า พรรคภูมิใจไทย ร่วมมือกับทุกพรรค แม้แต่พรรคฝ่ายค้าน หากทำเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งยึดประชาชนเป็นหลัก พร้อมยืนยันว่า ไม่มีโหวตสวนมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ตามที่เป็นข่าว เพราะทำงบประมาณมาด้วยกัน ขณะนี้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. เรียบร้อยแล้ว และงบประมาณก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ที่พรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่ก็ 400,000 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ 500,000 ล้านบาท กระทรวง อว. 200,000 ล้านบาท กระทรวงแรงงาน 2-3 หมื่นล้านบาท เฉพาะส่วนที่กำกับดูแลอยู่ก็เกือบล้านล้านบาท หากไม่เห็นชอบ หรือจะโหวตคว่ำร่างฯ คงจะไม่ผ่านตั้งแต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งงบประมาณนี้ทำเองและเป็นเรื่องของประเทศชาติและประชาชน ต้องให้การสนับสนุนอยู่แล้ว
ขณะที่การเติบโตของพรรคกล้าธรรม จะเป็นการคานอำนาจของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี ทุกพรรคการเมืองก็ต้องการเติบโตและพรรคไหนก็ตามที่สามารถรับใช้ประชาชนได้ ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจ พรรคนั้นก็จะเติบโตเหมือนพรรคภูมิใจไทย ซึ่งส่วนตัวก็พูดคุย และทำงานร่วมกันกับร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม มาตลอด
ส่วนที่นายณัฐพร โตประยูร ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย เป็นเกมการเมืองหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่รู้จักนายณัฐพรและไม่มองว่าเป็นเกมการเมือง เพราะเป็นเรื่องไร้สาระ พร้อมย้ำว่า ยังไม่มีข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีขณะนี้ รัฐบาลยังมีความเข้มแข็งมีเสียงอยู่กว่า 320 เสียง มี สส.ของพรรคกล้าธรรม เพิ่มขึ้นก็ทำให้รัฐบาลเข้มแข็งมากขึ้น ทำให้ตนเองไปผ่าตัดเลนส์ตาได้อย่างสบายใจและไม่ได้มองสัญญาณเชิงบวกกับสีน้ำเงินเลย มองแต่เรื่องการทำงาน จากสายตาที่เคยขุ่นมัว เมื่อเปลี่ยนเลนส์ตาก็ทำให้ชัด ใสปิ๊ง กลับมาหล่อเหมือนเดิมและเห็นอนาคตของรัฐบาลได้ชัดว่า จะอยู่ครบเทอม
สำหรับกรณีที่ศาลฎีกาจะพิจารณาคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกลับเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ส่วนรัฐบาลเป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นรัฐบาลก็ต้องอยู่ ซึ่งทุกอย่างแยกกันโดย 3 เส้า ของอำนาจอธิปไตยของประเทศคือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ และคิดว่าทุกคนที่เติบโตขึ้นมาอยู่ในระดับที่บริหารประเทศได้ ต้องแยกแยะถูกว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนรวมของประเทศและประชาชน รวมทั้งยังไม่เคยเห็นใครในรัฐบาลที่นำเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมมาปะปนกัน