นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน (DIT) ติดตามสถานการณ์การซื้อขายลำไยภาคเหนืออย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินมาตรการบริหารจัดการผลผลิตลำไยพันธุ์อีดอในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งขณะนี้ผลผลิตลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง ตาก และแพร่ มีปริมาณที่ออกสู่ตลาดแล้วกว่า 700,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 63 ของผลผลิตทั้งหมดในปี 2568 โดย DIT ได้เร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกตั้งแต่ต้นฤดูกาลทั้งด้านการกระจายผลผลิตและการเชื่อมโยงตลาดทั่วประเทศ รวมทั้งการสนับสนุนเข้าสู่การแปรรูปเป็นลำไยอบแห้งเพื่อส่งออก เพื่อดูดซับผลผลิตที่ออกมามากในช่วงฤดูกาลให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ตามนโยบาย “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย” และ “พาณิชย์พึ่งได้” ในการบูรณาการร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วน ทั้งห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ตลาดกลางสินค้าเกษตร ผู้ส่งออก สมาคมผู้ผลิตลำไยอบแห้งภาคเหนือ รวมถึงภาคเอกชนที่เข้ามาทำกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibility) โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET และภาครัฐต่าง ๆ ที่รับซื้อลำไยอีดอจากเกษตรกรโดยตรง ผ่านการประสานของกรมการค้าภายใน ช่วยลดปริมาณผลผลิตล้นตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สถานการณ์ราคาลำไยปัจจุบัน (ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2568) ลำไยสดช่อ เกรด AA อยู่ที่ 27 บาท/กก. เกรด A อยู่ที่ 23 บาท/กก. ขณะที่ลำไยรูดร่วง เกรด AA อยู่ที่ 13 บาท/กก. และเกรด A อยู่ที่ 8 บาท/กก. ปรับราคาสูงขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อน 4-5 บาท/กก. ซึ่งทำให้พี่น้องเกษตรกรพอใจเป็นอย่างมาก
นายจตุพร กล่าวว่า ประการสำคัญที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ขายผลผลิตได้ในราคาดีขึ้นคือ การช่วยกันซื้อช่วยกันบริโภคผลไม้ไทยของพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ผ่านกลไกของการจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคผลไม้ “THAI FRUITS FESTIVAL 2025” ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีคำสั่งซื้อของประชาชน ส่วนราชการ และเอกชนที่อยู่ในภาคอื่น ๆ ที่ช่วยกันสั่งซื้อลำไย ทำให้สามารถกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตได้ในปริมาณมาก สร้างสมดุลระหว่างแหล่งผลิตและแหล่งบริโภค ลดปัญหาล้นตลาดในพื้นที่ภาคเหนือได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ DIT ยังได้เปิดจุดจำหน่ายในกรุงเทพมหานคร และนนทบุรีให้เกษตรกรนำลำไยมาขายโดยตรงแก่ผู้บริโภค โดยสนับสนุนค่าขนส่งให้กับเกษตรกรนำลำไยจากสวนมาจำหน่ายตลอดเดือนสิงหาคมนี้ในชุมชนต่างๆ อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข อาคารมาลีนนท์ เพื่อให้ประชาชนได้ช่วยอุดหนุนเกษตรกรโดยตรง สร้างรายได้และความมั่นใจให้กับผู้ปลูกลำไย
ในพื้นที่ ขณะเดียวกัน DIT ยังได้สนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์และตะกร้าลำไย ส่งมอบให้แก่กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ในจังหวัดภาคเหนือ เพื่อนำไปใช้ในการบรรจุผลผลิตลำไยจัดส่งให้กับผู้สั่งซื้อทั่วประเทศ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มปริมาณการซื้อลำไยผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย
นายจตุพร ย้ำว่า ผลจากการบริหารจัดการและความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง ทำให้ราคาลำไยอีดอในหลายพื้นที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าตามนโยบาย “พาณิชย์พึ่งได้” และ “ไทยช่วยไทย” เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร ดูแลราคาสินค้าเกษตร และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคทั่วประเทศ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการในจังหวัดสงขลาและจังหวัดยะลา เพื่อติดตามศักยภาพการผลิตและการส่งออกสินค้าสำคัญของภาคใต้ ทั้งการรับซื้อทุเรียนสดและการส่งออกทุเรียนแช่แข็ง ซึ่งเป็นสินค้าหลักในการสร้างรายได้และการส่งออกของประเทศ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย
จุดแรกได้เยี่ยมชมบริษัท ห้องเย็นโชติวัฒน์หาดใหญ่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่ ภายใต้แบรนด์ SEA KING, SEA CHAMPION, SEA FLOWER และ MERMAID ตั้งแต่ปี 2566 ได้ขยายธุรกิจสู่การผลิตทุเรียนแช่แข็งเต็มรูปแบบ ผ่านบริษัทในเครือ “ฟู้ด ฟิวเจอร์ จำกัด” ในปี 2568 บริษัทฯ รับซื้อทุเรียนกว่า 5,000 ตัน จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ มีกำลังการผลิต 100 ตันต่อวัน และสามารถเก็บรักษาทุเรียนแช่แข็งได้ถึง 10,000 ตัน โดยตลาดจีนยังคงเป็นตลาดหลัก พร้อมเดินหน้าขยายสู่ตลาดใหม่ทั่วโลก ซึ่งได้เยี่ยมชมกระบวนการผลิต เริ่มจากจุดรวบรวมผลทุเรียนสด การแกะเนื้อทุเรียนโดยเน้นทุเรียนที่สุกจัด การแช่แข็ง การบรรจุลงกล่อง และเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ -22 องศาเซลเซียส
จากนั้น คณะได้เดินทางไปยัง จ.ยะลา เยี่ยมชม “ล้งโกชาน” ซึ่งเป็นจุดรับซื้อทุเรียนใหญ่ที่สุดของจังหวัด มีกำลังรับซื้อเฉลี่ยวันละ 180 ตัน หรือประมาณ 7,000 ตันต่อปี โดยทุเรียนจากเบตงขึ้นชื่อ
เรื่อง “ทุเรียนสะเด็ดน้ำ” ที่มีรสชาติหอมเป็นเอกลักษณ์ และได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างประเทศ
นายประเสริฐ คณานุรักษ์ หรือโกชาน เจ้าของล้ง เปิดเผยว่า ช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ล้งไม่ได้ทำหน้าที่เพียงผู้รับซื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ปรึกษาให้เกษตรกรเรื่องการตั้งราคาและช่วงเวลาการตัดผลผลิต เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและสร้างความมั่นใจให้ชาวสวนว่ามีตลาดรองรับอย่างต่อเนื่อง โดยเครือข่ายการส่งออกครอบคลุมทั้งจีน ออสเตรเลีย และยุโรป ผ่านผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย
นอกจากนี้ นายจตุพร ได้พบปะพูดคุยกับชาวสวนในพื้นที่ พร้อมรับฟังปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิต ทั้งค่าปุ๋ยและค่ายาฆ่าแมลง และยืนยันว่าจะนำ “สินค้าธงเขียว” ราคาถูกเข้ามาช่วยลดภาระต้นทุนให้เกษตรกร และยังได้ประสานผู้ประกอบการให้ปรับราคารับซื้อทุเรียนในพื้นที่เบตงจาก 85 บาทเป็น 90 บาทต่อกิโลกรัมทันที โดยผู้รับซื้อได้ประกาศเปลี่ยนป้ายราคา ณ จุดรับซื้อ ต่อหน้าชาวสวนที่มาส่งทุเรียนในวันเดียวกัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่า กระทรวงฯ พร้อมเดินหน้าขยายตลาดใหม่ทั้งในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกา ผ่านกิจกรรมเจรจาการค้า งานแสดงสินค้านานาชาติ และการทำตลาด
เชิงรุก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการค้าให้ผู้ประกอบการไทย เป้าหมายคือทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าพาณิชย์พึ่งได้จริง
สำหรับข้อมูลการส่งออกทุเรียนของไทย (มกราคม – มิถุนายน 2568) ปริมาณการส่งออกทั้งหมด 673,668 ตัน มูลค่า 2,918.62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 70,802.02 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 2.67 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 สัดส่วนการส่งออกสินค้า แบ่งเป็น ทุเรียนสด 90.67% ทุเรียน แช่เย็นจนแข็ง 9.01% ทุเรียนกวนและอบแห้ง 0.31% โดยตลาดหลัก ได้แก่ 1.จีน (96.77%) 2.ฮ่องกง (0.83%) และ 3.มาเลเซีย (0.78%) ตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูง ได้แก่ มาเลเซีย (ทุเรียนสด +1,984%) สหรัฐอเมริกา (ทุเรียนแช่เย็น/แช่แข็ง +150%) และไต้หวัน (ทุเรียนแช่เย็น/แช่แข็ง +143%) เป็นต้น