พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกประชุมเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการถูกระงับธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือบัญชีม้า โดยมีตัวแทนศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และผ่านระบบประชุมทางไกลร่วมกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) เพื่อรับฟังข้อมูลอย่างละเอียดรอบด้าน รวมทั้ง ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติของตำรวจให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มมิจฉาชีพซึ่งมีหมายอายัดบัญชี โดยตำรวจยืนยันจะดำเนินการอายัดทุกบัญชีที่เป็นบัญชีม้า ส่วนกลุ่มประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ประกอบธุรกิจการค้าและมีเงินโอนจากบัญชีม้าเข้ามา เป็นการถูกระงับธุรกรรมทางการเงินเฉพาะเงินจำนวนดังกล่าวเท่านั้น ยืนยันไม่ใช่การอายัดทั้งบัญชี ทั้งนี้ได้กำชับให้ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศต้องรับแจ้งความผู้เสียหายทุกราย โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุเพื่อตรวจสอบและปลดล็อกได้ที่สายด่วนศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ ศูนย์ AOC (Anti Online Scam Operation Center ) 1441 ทั้งนี้พบปัญหาคู่สายการรับแจ้งเหตุไม่เพียงพอ ซึ่งตำรวจดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยประชาชนสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียงทุกแห่ง และจะใช้หมายเลข 191 และ 1599 เป็นคู่สายเพิ่มเติม โดยให้แจ้งข้อมูล ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขบัญชีธนาคาร และชื่อธนาคารเจ้าของบัญชี ทั้งนี้ขั้นตอนคือไม่ว่าผู้เสียหายอยู่ในพื้นที่ใดก็ตามสามารถแจ้งเหตุในพื้นที่นั้นๆ ได้ทันที จากนั้นตำรวจจะส่งข้อมูลไปยัง
ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Police Cyber Taskforce : PCT) และส่งไปยังศูนย์ AOC เพื่อดำเนินการปลดล็อก โดยใช้เวลาไม่เกินครึ่งวัน
กระบวนการนี้ ยอมรับว่ามีการเรียกร้องจากพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ ในเรื่องของภาระสำนวนที่มากขึ้น เรื่องดังกล่าวเป็นการบริหารภายในองค์กรที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเร่งแก้ปัญหา โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนที่ต้องพบกับอาชญากรรมรูปแบบที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการบริหารจะต้องเปลี่ยนตามหรือเพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนให้มากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ส่วนที่มีกระแสสังคมกังวลว่ากระบวนการดังกล่าว จะทำให้มิจฉาชีพใช้โอกาสนี้ในการฟอกตัว หรือสร้างปัญหาให้กับประชาชนในหลายรูปแบบนั้น ตำรวจจะนำมาตรการเหล่านี้เข้ามาควบคุม เพื่อปิดกั้นไม่ให้เกิดช่องว่างสำหรับมิจฉาชีพ ซึ่งจากการคัดกรอง 2 วันที่ผ่านมา พบว่ามีการแจ้งความประมาณ 1,300 คู่สาย ตรวจสอบยืนยันความบริสุทธิ์ได้ 300 สาย ยืนยันไม่ได้ 1,000 สาย และจัดการปลดล็อกแล้ว 30 ราย อย่างไรก็ตามหากพบว่ามีตำรวจเรียกรับผลประโยชน์ในการปลดล็อคบัญชีกับผู้เสียหาย หากมีหลักฐานให้ส่งข้อมูลมาได้ และจะตรวจสอบว่าเป็นไปตามกฎหมายหรือตามข้อบังคับหรือไม่ แต่หากพบเจ้าหน้าที่กระทำผิดเรียกรับผลประโยชน์จะดำเนินการอย่างไม่ละเว้น
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระงับบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ว่าได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไข และยืนยันว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบโครงการคนละครึ่ง เพราะทุกรัฐบาลมีโครงการสำคัญตามนโยบายที่จะสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้
เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนที่อาจหลงผิด เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวง ซึ่งการกำหนดโทษของผู้รับจ้างเปิดบัญชีม้า หรือให้เช่าบัญชีม้าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กหรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 5 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
