นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงวันที่ 21 ก.ย. 68 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ขณะเดียวกันร่องมรสุมพาดผ่านหลายพื้นที่ของประเทศ ทำให้มีฝนตกเพิ่ม โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
นอกจากนี้ กรมอุทกศาสตร์คาดการณ์ว่าช่วงดังกล่าวจะเกิดน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น และอาจเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน และแม่กลอง ในจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม ในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงตุลาคมนี้ คาดการณ์จะมีแนวโน้มการก่อตัวของพายุจากประเทศฟิลิปปินส์ที่อาจส่งผลกระทบให้เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบพื้นที่น้ำท่วมในปัจจุบัน
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ สทนช. ได้กำหนดมาตรการบริหารจัดการน้ำโดยพร่องน้ำจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อรองรับฝนระลอกใหม่ และปรับการระบายน้ำแบบขั้นบันไดเพื่อลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน
สำหรับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 605 ล้านลูกบาศก์เมตร (ร้อยละ 63) และมีแนวโน้มมีน้ำไหลเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อควบคุมระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม จึงปรับเพิ่มการระบายน้ำจาก 200 ลบ.ม./วินาที เป็น 350 ลบ.ม./วินาที โดยทยอยเพิ่มวันละ 50 ลบ.ม./วินาที ระหว่างวันที่ 17–19 ก.ย. 68 ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักจะสูงขึ้นราว 1.3–1.5 เมตร แต่ยังไม่ล้นตลิ่ง
สทนช. จะร่วมกับกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ติดตามและปรับการระบายน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเขื่อนสิริกิติ์จะคงการระบายที่ 20 ลบ.ม./วัน ส่วนเขื่อนภูมิพลจะเพิ่มเป็น 20 ลบ.ม./วัน ควบคุมไม่ให้ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที และประสานกองทัพเรือเสริมเรือผลักดันน้ำ และเร่งกำจัดวัชพืช ผักตบชวา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและลดผลกระทบต่อประชาชน
เช่นเดียวกับเขื่อนเจ้าพระยา หลังคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,000 – 2,500 ลบ.ม./วินาที โดยได้แจ้งจะทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อน จากอัตรา 2,100 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,200 ลบ.ม./วินาที ในวันที่ 18 ก.ย. 68 และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำทางตอนบนและฝนที่ตกในระยะนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง วัดไชโย จ.อ่างทอง คลองบางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่อยู่ติดกับแม่น้ำน้อย วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
อ.เมืองสิงห์บุรี อ.พรหมบุรี เฝ้าระวังและติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หากระดับน้ำทางตอนบนเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะต่อไป รวมถึงยังมีการเตรียมพื้นที่ลุ่มต่ำ 10 ทุ่งในลุ่มน้ำเจ้าพระยาไว้รองรับและหน่วงน้ำเพิ่มเติม
ขณะที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แจ้ง 52 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ดินโคลนถล่ม รวมถึงอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 และระดับน้ำเพิ่มขึ้นจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนแปลง รวมถึงเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำเพิ่มขึ้น ช่วงวันที่ 18 – 24 ก.ย. 68 โดยให้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่เสี่ยง กำชับเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัยตลอด 24 ชม. เพื่อให้สามารถเข้าเผชิญเหตุและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์
พื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เนื่องจากระบายไม่ทัน ในระหว่างวันที่ 18 – 24 ก.ย. 68 ดังนี้
- พื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และดินโคลนถล่ม รวม 35 จังหวัด
– ภาคเหนือ จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 18 จังหวัด ได้แก่ จ.เลย หนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
– ภาคกลาง จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ จ.นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
- พื้นที่เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกัก รวม 41 จังหวัด บริเวณ จ.เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ อุทัยธานี เลย หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร อุดรธานี ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง สุราษฎร์ธานี และกระบี่
- พื้นที่เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ รวม 7 จังหวัด
ได้แก่ จ.เชียงราย พิษณุโลก ร้อยเอ็ด ยโสธร ชัยภูมิ อุบลราชธานี และปราจีนบุรี
- พื้นที่เฝ้าระวังผลกระทบจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีปริมาณฝนตกสะสม บริเวณสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มส่งผลกระทบพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขง ได้แก่ จ.เชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
- พื้นที่เฝ้าระวังผลกระทบจากกรณีเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำ ทำให้ระดับน้ำเจ้าพระยาสูงขึ้น และล้นตลิ่ง ได้แก่ จ.อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง และชัยนาท และเฝ้าระวังกิจกรรมการใช้น้ำและการสัญจรทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ได้แก่ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
(18 ก.ย. 68) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์อุทกภัย ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง กาญจนบุรี สุพรรณบุรีพระนครศรีอยุธยา นครปฐม ฉะเชิงเทรา) 56 อำเภอ 295 ตำบล 1,585 หมู่บ้าน บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 55,354 ครัวเรือน 183,358 คน มีผู้เสียชีวิต 3ราย (จ.เพชรบูรณ์ พิจิตร พระนครศรีอยุธยา) ดังนี้
1. จังหวัดพิษณุโลก แม่น้ำยมน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.วังทอง (ลักษณะเป็นชุมชนริมแม่น้ำ เป็นบ้านใต้ถุนยกสูง) อ.บางระกำ (ลักษณะเป็นพื้นที่รับน้ำ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตร) บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 3,457 ครัวเรือน 12,791 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำยม สถานีวัด Y.16 แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ศูนย์ ปภ. เขต 9 พิษณุโลก สนับสนุน รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย 6 คัน เรือท้องแบน จำนวน 6 ลำ
2. จังหวัดเพชรบูรณ์ น้ำท่วมขังในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.บึงสามพัน อ.วิเชียรบุรี อ.ศรีเทพ อ.หล่มเก่า อ.หล่มสัก บ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 725 ครัวเรือน 2,683 คน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (ชาย อายุ 19 ปี พลัดตกน้ำ ขณะพายเรือข้ามลำน้ำ) ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำป่าสัก แนวโน้มระดับน้ำลดลง หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ข้าวกล่อง 150,381 กล่อง น้ำดื่ม 195,495 ขวด ยารักษาโรค 1,000 กล่อง มอบถุงยังชีพ 7,650 ถุง รถผลิตน้ำดื่ม ขนาด 1,000 ลิตร/ชั่วโมง พร้อมขวดน้ำ 10,000 ขวด รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยพร้อมอุปกรณ์ 6 คัน เรือท้องแบน 3 ลำ รถขนย้ายผู้ประสบภัย 25 คัน
3. จังหวัดพิจิตร แม่น้ำยมและแม่น้ำน่านล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 9 อำเภอ ได้แก่ อ.สามง่าม โพทะเล โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง บางมูลนาก ทับคล้อ เมืองฯ ดงเจริญ และสากเหล็ก (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,528 ครัวเรือน 5,654 คน และพื้นที่การเกษตร 5,075 ไร่ ถนน 3 สาย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (หญิง 17 ปี) ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำน่าน แนวโน้มระดับน้ำลดลง หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ถุงยังชีพ 500 ชุด สุขาเคลื่อนที่ 7 หลัง โดย ศูนย์ ปภ. เขต 8 กำแพงเพชร ด้านขนย้ายผู้ประสบภัย เรือพาย 20 ลำ
4. จังหวัดนครสวรรค์ แม่น้ำยมและแม่น้ำน่านเอ่อล้นเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ชุมแสง เมืองฯ ตาคลี และโกรกพระ ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,034 ครัวเรือน 5,925 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำน่าน แนวโน้มระดับน้ำลดลง หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ มอบถุงยังชีพ 403 ถุง เรือพาย 142 ลำ เรือท้องแบน 2 ลำ เครื่องสูบน้ำ 9 เครื่อง การเสริมคันกั้นน้ำชั่วคราว กระสอบทราย 16,200 ใบ
5. จังหวัดอุทัยธานี เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ ห้วยคต และทัพทัน เบื้องต้นประชาชนได้รับผลกระทบ 430 ครัวเรือน 1,328 คน และพื้นที่การเกษตร 669 ไร่ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง แนวโน้มระดับน้ำลดลง หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประกอบอาหารจัดเลี้ยงผู้ประสบภัย น้ำดื่ม 1,325 ขวด โดย ศูนย์ เขต 16 ชัยนาท เรือพาย ยกของขึ้นที่สูง และจัดทำป้ายเตือน “น้ำท่วมทาง” ในบริเวณที่มีน้ำท่วมถนน และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง จำนวน 3 ราย
6. จังหวัดชัยนาท น้ำเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.สรรพยา มโนรมย์ วัดสิงห์ และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 322 ครัวเรือน 784 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยาสถานีวัด C.13 แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 3 เครื่อง ทำแนวคันกั้นน้ำ สนับสนุนรถแบคโฮ และรถหกล้อ วางแนวบิ๊กแบ็คเพื่อติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ทำแนวคันกั้นน้ำเสริมแนวกระสอบทราย และเทดินลูกรังเสริมถนนเพื่อป้องกันการถูกน้ำท่วมขัง โดยเจ้าหน้าที่ทหารบรรเทาสาธารณภัยประจำอำเภอ เมืองชัยนาท พัน.บร.กบร.ศป. จำนวน 57 นาย นำกระสอบทรายอุดท่อระบายน้ำ สนับสนุนกำลังทหารจากกองบิน 4
7. จังหวัดสิงห์บุรี เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.อินทร์บุรี พรหมบุรี และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 150 ครัวเรือน 402 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา สถานีวัด C.3 แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ รถประกอบอาหาร รถผลิตน้ำดื่ม พร้อมขวดน้ำ จำนวน 2,500 ขวด โดย ศูนย์ ปภ. เขต 16 ชัยนาท ชุดครอบครัว (Family Kit) จำนวน 3 ชุด จากคลังเก็บสิ่งช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน (DELSA) มอบถุงยังชีพ รถสุขาเคลื่อนที่ 1 คัน ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบาง ไปยังที่ปลอดภัย โดย กอ.รมน.จ.สห. และ กองพลทหารปืนใหญ่ (ป.71 พัน.721)
8. จังหวัดอ่างทอง น้ำเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ป่าโมก ไชโย วิเศษชัยชาญ และเมืองฯ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 883 ครัวเรือน 3,267 คน พื้นที่การเกษตร 784 ไร่ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา สถานีวัด C.7A แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ รถผลิตน้ำดื่ม 1 คัน โดย ศูนย์ ปภ. เขต 2 สุพรรณบุรี รถขนย้ายผู้ประสบภัย 3 คัน สะพานเบลีย์ 1 ชุด เรือ 18 ลำ เรือพาย 22 ลำ ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ 44 ทีม เครื่องสูบน้ำ 14 นิ้ว 3 เครื่อง และเครื่องสูบน้ำ 12 นิ้ว 34 เครื่อง โดย โครงการชลประทานอ่างทอง
9. จังหวัดกาญจนบุรี เกิดฝนตกต่อเนื่องทำให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เลาขวัญ เมืองฯ และท่าม่วง ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,669 ครัวเรือน 2,000 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต สถานการณ์คลี่คลายแล้ว
10. จังหวัดสุพรรณบุรี น้ำจากแม่น้ำท่าจีนเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ บางปลาม้า สองพี่น้อง เดิมบางนางบวช และดอนเจดีย์ (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 10,591 ครัวเรือน 25,998 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำท่าจีน สถานีวัด T.10 แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ เรือเหล็ก 10 ลำ เครื่องสูบน้ำ จำนวน 8 เครื่อง ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ โดยโครงการชลประทานจังหวัด และเสริมคันกั้นน้ำ กระสอบทราย 42,000 ใบ
11. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อ.เสนา อ.ผักไห่ อ.บางบาล อ.บางไทร อ.พระนครศรีอยุธยา อ.บางปะอิน อ.มหาราช (ลักษณะเป็นบ้าน ใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 28,518 ครัวเรือน 105,517 คน โรงเรียน 10 แห่ง โรงพยาบาล 1 แห่ง สถานที่ราชการ 6 แห่ง วัด 11 แห่ง มัสยิด 1 แห่ง ถนนในหมู่บ้าน 21 สาย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (ชาย สาเหตุจมน้ำเสียชีวิตขณะขนย้ายสิ่งของใต้ถุนบ้าน) และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำเจ้าพระยา สถานีวัด C.67 แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ มอบเต็นท์ผู้ประสบภัย จำนวน 160 หลัง รถผลิตน้ำดื่ม 1 คัน เรือท้องแบน พร้อมเครื่องยนต์ 4 ลำเรือเล็กพร้อมไม้พาย 120 ลำ เครื่องสูบส่งน้ำ ขนาด 14 นิ้ว 2 เครื่อง สนับสนุนกระสอบทราย 195,900 ใบ
12. จังหวัดนครปฐม แม่น้ำท่าจีนน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.บางเลน เมืองฯ สามพราน กำแพงแสน ดอนตูม และนครชัยศรี (ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงนอกแนวคันกั้นน้ำ) ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,894 ครัวเรือน 5,344 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำท่าจีน แนวโน้มระดับน้ำทรงตัว หน่วยงานต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ เครื่องสูบน้ำ จำนวน 1 เครื่อง โดย ศูนย์ ปภ. เขต 1 ปทุมธานี ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ บริเวณประตูระบายน้ำ รวม 32 เครื่อง โดยโครงการชลประทานนครปฐม วางกระสอบทรายเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมและทำคั้นกั้นน้ำ
13. จังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.บางน้ำเปรี้ยว อ.เมืองฯ ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,153 ครัวเรือน 11,666 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต ปัจจุบันปริมาณน้ำท่าแม่น้ำบางปะกง สถานีวัด Kgt.30 แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือ ชุดธารน้ำใจบรรเทาทุกข์จำนวน 2,538 ชุด ชุดยาสามัญประจำบ้าน 150 ชุด เรือพลาสติก 300 ลำ เครื่องสูบน้ำ ชนิดไฮโดร์โฟร์ 30 นิ้ว จำนวน 2 เครื่อง
ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศ เรื่อง พายุดีเปรสชัน ฉบับที่ 1 เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 68 พายุดีเปรสชันจากฟิลิปปินส์เคลื่อนสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน ศูนย์กลาง อยู่ที่ละติจูด 19.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 120.0 องศาตะวันออก ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 55 กม./ชม. เคลื่อนทางเหนือค่อนตะวันตกเล็กน้อย 15 กม./ชม. คาดว่าจะรุนแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และขึ้นฝั่งจีนตอนใต้ช่วง 19–20 ก.ย. พายุนี้ไม่เข้าประเทศไทย แต่ทำให้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้มีฝนเพิ่มขึ้น และบางแห่งมีฝนตกหนัก ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนสะสมในระยะนี้
สำหรับประชาชนขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา