ไทย-กัมพูชา ลงนามถ้อยแถลงเพื่อนำไปสู่สันติภาพ โดนัลด์ ทรัมป์ – อันวาร์ ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นประธานเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และองค์การระหว่างประเทศ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้กล่าวต้อนรับผู้นำอาเซียนทุกประเทศ ช่วงหนึ่งของถ้อยแถลง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวขอบคุณ นายกรัฐมนตรีของไทยในฐานะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และกล้าหาญในการผลักดันสันติภาพชายแดนด้วยวิถีทางการทูต จนนำไปสู่การลงนาม Joint Declaration ที่จะนำไปสู่สันติภาพไทย–กัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมองว่า การลงนามฯ ของประเทศไทยและกัมพูชาจะทำให้ประชาคมโลกได้เห็นว่าสันติวิธีของอาเซียนสามารถนำมา
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

นายอนุทิน ยังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีกับนายอันโตนิอู มานูแอล เดอ โอลิไวรา กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ โดยชื่นชมบทบาทของสหประชาชาติที่มีความสำคัญท่ามกลางความท้าทายของโลก ทั้ง 2 ฝ่าย ยังได้หารือถึงสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติสนับสนุนให้เกิดการปรองดองและสันติภาพภายในประเทศ ทั้งนี้ไทยยังได้เสนอรายงาน Complementarities Initiative 2.0 ของไทย ที่จะเสนอรับรองในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs : Sustainable Development Goals) ในภูมิภาคอาเซียน 

นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีกับนายแฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส ประธานาธิบดี
แห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งฟิลิปปินส์เป็นมิตรและหุ้นส่วนสำคัญที่มีความสัมพันธ์อย่างยาวนานกับไทย
โดยไทยสนับสนุนฟิลิปปินส์ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียน ในปี 2569 ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องในการส่งเสริมการค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ต้องการเห็นการส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว และ Medical Hub โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อร่วมกันยกระดับศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน

จากนั้นนายอนุทิน ได้เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ (Plenary) โดยระบุว่าการประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีการประชุมพหุภาคีครั้งแรกภายหลังเข้ารับตำแหน่ง โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกับประเทศสมาชิก เพื่อผลักดันประโยชน์ที่แท้จริงมาสู่ประชาชน และเน้นย้ำ 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่

1. การสร้างประชาคมอาเซียนที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับประชาชน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้น ไทยพร้อมทำงานกับประเทศสมาชิกอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับภัยคุกคามร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง และการปฏิบัติการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งปกป้องคุณภาพชีวิตของประชาชนจากมลพิษข้ามพรมแดน ภัยพิบัติทางธรรมชาติและโรคระบาด

2. การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน ผ่านการบูรณาการทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและ
ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยยินดีที่อาเซียนสามารถลงนามในความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement: ATIGA) ฉบับปรับปรุง และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีน ฉบับที่ 3 ได้ในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งนี้ พร้อมหวังว่าอาเซียนจะสามารถลงนามในกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ได้ภายในปีหน้า

3. การเสริมสร้างสันติภาพและเสถียรภาพ โดยยึดมั่นต่อระบบที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ เพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับภาคีภายนอก

ทั้งนี้ยินดีต่อความสำเร็จในการเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซียในปีนี้ และพร้อมสนับสนุนฟิลิปปินส์
ในการเป็นประธานอาเซียนปีหน้า ซึ่งเป็นปีที่อาเซียนจะขับเคลื่อน “วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045” ร่วมกัน

สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ ที่ประชุมได้ร่วมกันรับรองเอกสารการประชุมสุดยอดอาเซียน จำนวน 16 ฉบับ และมาเลเซียได้ออกแถลงการณ์ของประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 (Chairman’s Statement of the 47th ASEAN Summit) จำนวน 1 ฉบับ หลังจากนั้น ผู้นำอาเซียนได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบสารแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ฉบับที่ 2

และอีกภารกิจสำคัญคือการร่วมลงนามถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia)  โดยนายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมลงนามเพื่อเป็นสักขีพยาน

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ ขอยกย่องนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศที่ให้
การตอบรับการเจรจาและยุติการหยุดยิงทันที เพื่อลดการสูญเสียชีวิต พร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่เป็นตัวกลางในครั้งนี้

ขณะที่นายอนุทิน กล่าวว่า ถือเป็นหมุดหมายบทใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็น
การก้าวเดินอย่างเป็นรูปธรรมไปสู่สันติภาพ
ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่ได้แสดงบทบาทนำในฐานะประธานอาเซียน และขอบคุณอย่างจริงใจต่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งเสริมสันติภาพระหว่างทั้ง 2 ประเทศ พร้อมย้ำว่าไทยยึดมั่นในสันติภาพ ถ้อยแถลงฉบับนี้สะท้อนเจตจำนงที่จะลดช่องว่างความแตกต่างโดยสันติ ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามถ้อยแถลงฉบับนี้ได้อย่างครบถ้วน จะเป็นรากฐานสำคัญของสันติภาพที่ยั่งยืน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ การเริ่มต้นฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังนั้นภายหลังการลงนามในถ้อยแถลงนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะเริ่มดำเนินการตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนโดยเร็ว เพื่อรับประกันความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นและไว้เนื้อเชื่อใจ ก่อนที่ไทยจะเริ่มกระบวนการปล่อยตัวทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวจำนวน 18 นาย และหากต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นในพื้นที่ สิ่งที่ได้ตกลงกันในครั้งนี้ต้องถูกนำไปปฏิบัติจริง จึงจะสามารถเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่
ได้อย่างแท้จริง สร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้แก่ประชาชน จึงจะเป็นการบรรลุสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งคือ สิ่งที่ประชาชนคาดหวังและสมควรได้รับ “สันติภาพที่มาพร้อมศักดิ์ศรี” และจากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับพลเอก ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยืนยันว่าจะปฏิบัติตามแนวทางและข้อตกลงที่ได้ลงนามร่วมกันไว้ ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่การบริหารจัดการความขัดแย้งให้ลดระดับลงมา

นอกจากนี้ยังได้ประกาศแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย (Joint Statement on a Framework for a U.S. -Thailand Agreement on Reciprocal Trade) ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้การเจรจาเรื่องภาษีสามารถบรรลุข้อสรุปได้ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุที่มีความสำคัญ (MOU between our governments on cooperation on critical minerals) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระยะยาวต่อไป

สำหรับสาระสำคัญของถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียประกอบด้วย

1. ความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองประเทศตามที่ได้ประกาศไว้ ณ เมืองปุตราจายา มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 และย้ำความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลังการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ และการเคารพต่อเขตแดนระหว่างประเทศและต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกันต่อเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดนและอัตลักษณ์แห่งชาติของ
แต่ละประเทศ

2. ความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการยึดมั่น และดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกันในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC)

3. การลงนามในเอกสารขอบเขตการจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน(ASEAN Observer Team : AOT) ซึ่งจะประกอบด้วยบุคลากรจากรัฐสมาชิกอาเซียน เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ และเรียกร้องให้รัฐสมาชิกอาเซียนให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสมเพื่อให้ AOT ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์

4. ทั้ง 2 ฝ่ายให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียดและฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยได้ตกลงในขั้นตอนดังต่อไปนี้

• ลดความตึงเครียดทางการทหารภายใต้การสังเกตการณ์และการยืนยันตรวจสอบโดย AOT ซึ่งรวมถึงการถอนอาวุธและยุทโธปกรณ์หนักและทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดนและนำกลับไปยังที่ตั้งปกติของหน่วยทหารแต่ละประเทศ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายจะมอบหมายให้คณะทำงานของแต่ละฝ่ายร่วมกันหารือเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติการ

• ละเว้นการเผยแพร่หรือส่งเสริมการใช้ข้อมูลเท็จการกล่าวอ้าง การกล่าวหาและวาทกรรมที่สร้าง
ความเสียหายไม่ว่าจะผ่านช่องทางที่เป็นทางการของรัฐบาลหรือช่องทางไม่เป็นทางการ

• เห็นพ้องที่จะดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นโดยทันทีและเต็มรูปแบบเพื่อฟื้นฟูและรักษาความเชื่อมั่น ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และสันติภาพตามแนวชายแดน และเพื่อแก้ไขความแตกต่างอย่างสันติด้วยความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรภาพ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และร่วมมือเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

• ประสานงานและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนตามที่ได้ตกลงกันในที่ประชุม GBC เพื่อปกป้องชีวิตของพลเรือนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ

• ยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนและการจัดทำหลักเขตแดนผ่านสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง หรือการกระทำที่เป็นการยั่วยุใด ๆ และตระหนักว่าคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) เป็นกลไกทวิภาคีสำหรับการทำงานร่วมกัน ตลอดจนจะยุติกิจกรรมทุกประเภทที่เป็นการขยายขอบเขตข้อพิพาทและเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น

5. เมื่อมีการดำเนินการตามมาตรการข้างต้นอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับว่าเป็น
การสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่นอกจากนี้เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการส่งเสริม
ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไทยจะดำเนินการปล่อยเชลยศึกโดยพลัน

6. เพิ่มพูนความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล และการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของการตรวจสอบควบคุมตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของทั้ง 2 ประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ

7. รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ โดยเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศและสนธิสัญญาและความตกลงที่มีอยู่สภาวการณ์ต่างๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศมองไปข้างหน้าและเริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนบ้านตามเจตนารมณ์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติและหลักการในกฎบัตรอาเซียนเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ ซึ่งจะเป็นการปูทางไปสู่บทใหม่ของสันติภาพและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

8. ทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อมั่นว่า การหารือครั้งนี้ ซึ่งมีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
เข้าร่วมและให้การสนับสนุนเป็นรากฐานที่มั่นคงต่อความเคารพซึ่งกันและกันและการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค

ข่าวที่เกี่ยวข้อง